วันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2551

วันพุธที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

แค่นี้เอง


ความรัก สำหรับฉัน เป็นเรื่องง่ายๆ
นิยามต่างๆ ที่ใครๆ ก็พยายามหาคำพูดที่กินใจ คำพูดที่คิดว่าดีที่สุด ต่างๆนาๆ
แต่สำหรับฉัน ความรัก ไม่มีนิยามอะไรเลย
มีแค่ .. ความรู้สึก ...




รัก


กับ


ไม่รัก


ง่ายๆแค่นี้เอง


ฉะนั้น...ไม่ต้องหาคำนิยาม..และไม่ต้องพยายามที่จะหา เพราะความรักเป็นความรู้สึก แค่นี้เอง ง่ายมั้ยละ
ขึ้นอยู่กับว่า ใครพร้อมที่จะยอมรับความรู้สึก รัก กับ ไม่รัก เท่านั้นเอง
ขึ้นอยู่กับว่าใครที่พร้อมจะซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง
ขึ้นอยู่กับว่า ใครเลือกที่จะอยู่ต่อไปเพื่อให้ความหวัง ..ซึ่งสำหรับฉันแล้ว...
ความหวังมันก็คือ...การรอคอยในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ...


จะเกิดขึ้นตอนไหน .. ไม่ต่างอะไรกับคนที่..การหลอกตัวเอง..ไปวันๆ
"ฉะนั้นแล้ว..หากคุณรักใคร..จงกล้าที่จะซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง"


หากรู้สึกรัก .. นั่นก็คือ รัก ..
หากรู้สึกไม่รัก .. ก็คือ ไม่ได้รัก ..


"ก็แค่นี้เอง"


อย่าบอกว่าไม่หวังอะไร.........หากคุณทำดีเพื่อให้เค้าเห็นความดีที่คุณทำ

อย่าบอกว่าไม่ได้รัก.............หากคุณยังอยากมีเค้าอยู่ข้างๆตลอดไป

เพราะคงเป็นเรื่องไม่แฟร์ถ้าคุณยังอยากมีเค้าอยู่ ..ทั้งๆที่คุณบอกว่าไม่ได้รักเค้า

วันจันทร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2551

เรื่องย่อละคร Coffee Prince รักวุ่นวายของเจ้าชายกาแฟ


เรื่องย่อละคร Coffee Prince รักวุ่นวายของเจ้าชายกาแฟ
นักแสดงนำ : กอง ยู, ยุน อึนเฮ, ลี ซยอง กยอง, แช จุงอัน

ครอบครัวของ โคอึนชัน (Go Eun Chan) เคยมีฐานะดี แต่หลังจากที่พ่อของเธอตายไป แม่ของเธอยังคงชอบใช้จ่ายฟุ่มเพือยอยู่ ทำให้ทรัพย์สินร่อยหรอ จนกระทั่งเป็นหนี้ และเธอยังมีน้องสาวที่ต้องคอยดูแล โคอึนชัน ตัดสินใจทิ้งความรักสวยรักงาม เปลี่ยนภาพลักษณ์จากหญิงสาวแสนหวาน มาเป็นชายหนุ่มหน้าเด้ง เพื่อดูแลครอบครัวของเธอและหางานทำกันเป็นระวิง จากการที่เธอเคยมีความรู้ด้านเทควันโดมาก่อน ทำให้เธอมีลักษณะนิสัยห้าว ๆ และพูดอะไรตรงไปตรงมา ส่วนทางด้าน ชเวฮันคยูล ( Choi Han Kyul) แต่ ก็ดูเหมือนว่าเค้าจะรู้จักผู้หญิงดีไปซะทุกเรื่อง แถมยังหลงตัวเองว่าหน้าตาดีอีกด้วยสิ!หลังจากเกิดเหตุการณ์ตกกระไดพลอยโจนไปจนทำให้ ชเวฮันคยูล (Choi Han Kyul ) เข้าใจผิดว่าเธอเป็นผู้ชายจริงๆ แล้ว โคอึนชัน ก็เริ่มรับงานเป็นพนักงานในร้านกาแฟชื่อ Coffee Prince และเริ่มตกหลุมรักกับเจ้านายอารมณ์ร้ายอย่าง ชเวฮันคยูล เขาจ้างเธอเพราะอยากเอาเธอมาเป็นเกราะกำบัง ในขณะที่เขาเองกำลังจะโดนพ่อแม่บังคับให้แต่งงาน โดยเขาแสดงออกให้เห็นว่าเขานั้นเป็น "เกย์"ชเวฮันคยูล เริ่มมีความรู้สึกดีๆ กับ โคอึนชัน แต่ว่าเขาไม่เชื่อว่าความรู้สึกเหล่านี้คือความรัก ทางด้านของ โคอึนชัน ก็รู้สึกดีๆ กับ ชเวฮันคยูล เช่นเดียวกัน แต่เธอก็บอกเขาไม่ได้ว่าที่แท้จริงเธอเป็นผู้หญิงส่วนทางด้านของ ชเวฮันคยูล ก็ดันคิดว่าเธอเป็นผู้ชายมาตลอด ทำให้เขาเพ้อไปเองว่าเขาจะกลายเป็นพวกลักเพศไปแล้วหรือนี่ จนทำให้ต้องเจ็บปวดใจอยู่เป็นนิจ ความเป็นชายในตัวเขาเริ่มเปลี่ยนไปในทางที่ดูน่ากลัวแต่มันก็ดูสนุกดี

ตอนนี้กำลังติดละครเรื่องนี้อย่างแรงคะ ^^ เพราะชอบความน่ารักของนางเอกที่มีความตั้งใจจริงในการทำงานอะไรก็ตาม เค้าไม่ย่อท้อ ขยันขันแข็ง มาพร้อมกับความสดใสน่ารัก ใครที่อยู่ด้วยก็มีแต่ความสบายใจ อิอิ.. และที่ขาดไม่ได้เลย พระเอกของเรา โดนใจค่ะ ที่โดนใจนี่หมายถึงนิสัยนะคะ เข้าตากรรมการอย่างแรง ชอบผู้ชายนิสัยแบบ นี้จริงๆ มั่นคงในรัก มีความมุ่งมั่นที่จะแสดงให้ทางบ้านเห็นว่าเค้าก็มีความตั้งใจจริงที่จะทำอะไรจริงจังเหมือนกัน และทำได้ดีซะด้วย หุหุ ^0^

และที่สำคัญที่ขาดไม่ได้เลยคือ ชอบร้านกาแฟเค้ามากมายเลยคะ..เป็นอีกหนึ่งความฝัน..ฝันมาตั้งกะเด็กแล้วว่าอยากมีร้านกาแฟเล็กๆเป็นของตัวเอง ขายกาแฟ ขนมเด้ก และที่ขาดไม่ได้ต้องมีหนังสือเช่าด้วย อิอิ .. พูดแล้วตื่นเต้น ๆ .. อยากให้มีวันนั้นเร็วๆ..แต่อันดับแรก..เราต้องมีบ้านเป็นของตัวเองก่อน นะแอน..

วันศุกร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2551

ธรรมชาติ...ของความรัก

ไม่มีใครเกิดมาเพื่อใคร...

คนทุกคนเกิดมาเพื่อเรียนรู้ที่จะอยู่กับตัวเอง
ทำความรู้จักกับตัวเอง และรักตัวเองให้ดีที่สุด

ถ้ามีใครสักคนเคยบอกรักเราและวัน หนึ่ง..เขาจากไป...
จงอย่าตั้งคำถามวกวนกับตัวเองว่าเป็นเพราะอะไร
แต่ให้คำ ตอบกับตัวเองอย่างง่ายๆว่า เพราะมันเป็นธรรมชาติ


ธรรมชาติที่สุดท้าย แล้วทุกคนจะเหลือแต่ตัวเอง
ไว้พูดคุยกับตัวเอง และโอบกอดตัวเองไว้
ในวัน ที่เคว้งคว้างว่างเปล่า และค้นพบว่า

เราอาจเป็นมนุษย์คนสุดท้ายบนผืนโลก...
วิธีเดียวที่จะทำให้เราไม่หนาวตายเพราะความเหงา
นั่นก็ คือ .. การกอบเก็บความทรงจำของวันเก่าก่อนมาสุมไฟ
นึกถึงรอยยิ้มที่บางคน เคย "มีให้"....
นึกถึงคำที่คนบางคนเคยบอก "รัก"...
และ .. นึกถึงอ้อมกอดที่บาง คนเคย "โอบรัด"...

ความอบอุ่นเหล่านั้นจะให้ให้เรารอดตาย...
แม้สุด ท้าย ...
ภาพทุกภาพจะมอดไหม้ไปกับกองไฟกองนั้นก็ตาม
....................................................................................................
"อย่าหยุดที่จะหยิบยื่นความรัก ถึงแม้คุณจะไม่ได้รับมันตอบ ....
งยิ้มสู้และมีความอดทน..."

วันพฤหัสบดีที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2551

What Should I do??

  1. เวลาที่เรารู้สึกรักใครสักคน ความรู้สึกมันเป็นยังไง
  2. เราต้องทำตัวยังไง ถ้าเรารักใครสักคน
  3. ต้องแสดงออกยังไง ให้คนที่เรารักรู้ว่าเรารู้สึกยังไงกับเค้า แบบไม่น่าเกลียด
  4. ทำไมเวลาที่เรารู้สึกดีๆกับใครสักคนเราไม่กล้าทำอะไรหลายๆอย่าง เช่น แสดงออกให้เค้ารู้
  5. ทำไมเวลาที่เรามีความรัก ถึงได้สับสนจัง

วันพฤหัสบดีที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2551

ทบทวน..หัวใจ


ช่วงนี้ไม่ค่อยมีเวลามาเขียนเรื่องราวต่างๆ เลยทำให้เรื่องบางเรื่องที่อยากเล่า เลือนลางในความทรงจำไปแล้ว เพราะตัวเราเองจดจำอะไรได้แต่ไม่ค่อยจะนานเท่าไหร่.. แปลกนะเรื่องสนุก เรื่องสุข เราทำไมจำได้ไม่นาน แต่ทำไมเรื่องเศร้า ผิดหวัง เสียใจ ทำไม ต้องกลับเข้ามาในสมองทุกๆเช้า หรือทุกๆครั้งที่เรารู้สึกว่ากำลังอ่อนแอ..ใจคนเรานี่ก็แปลก..ทั้งๆที่รู้ว่าปล่อยให้เป็นไปอย่างนั้น ก็พาลจะทำให้ใจเราห่อเหี่ยว แต่ก็ยังดื้อที่จะทำ ยิ่งบังคับก็ยิ่งอยากทำ


แต่ก็เหมือนฟ้าประทานพร มาให้ชีวิตเรา วันนึงเดินเข้าร้านหนังสือ เลยซื้อติดมือมา 3 เล่ม หนึ่งในนั้น คือ "เข็มทิศชีวิต" ซึ่งเป็นหนังสือที่คุณมณฑานี แนะนำไว้ในหนังสือ "ผู้หญิงฉลาดรัก" เอ หรือว่า "ผู้หญิงอัศจรรย์" ก็ไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ๆ อ่านแล้วโดน อย่างจัง ได้อะไรหลายอย่างมากมาย มีบางคนเคยพูดกับเราไว้ว่า เราหมกมุ่น กับประสบการณ์ชีวิตคนอื่นเกินไป ทำให้พอเวลามีประสบการณ์ใหม่ๆ เข้ามาในชีวิตเราบ้าง เราไม่กล้าเรียนรู้ ในตอนแรก เราก็เชื่อและเข้าใจเช่นนั้น


แต่พอมาถึงวันนี้ เหมือนมีแสงสว่างเกิดขึ้นในใจเรา


ที่จริงแล้วเราไม่ใช่ ไม่กล้าเผชิญหน้า แต่ในเมื่อเรารู้แล้วว่าปลายทางจะจบลงตรงไหน ทำไปแล้วไม่ได้พัฒนาชีวิตตัวเองเลย มีแต่เสียพลังงานชีวิต พลังจิตใจปล่าวๆ เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว เรายังจะทำอยู่อีกหรือ ลองถามตัวเองดู


และอีกอย่าง เราอ่านหนังสือเพื่อเรียนรู้จากประสบการณ์ชีวิตของคนอื่นก็จริง แต่เราไม่ได้ยึดติดนี่นาว่าจะต้องทำตามเค้าไปซะทุกอย่าง หรือทุกเรื่อง แต่เราเรียนรู้ประสบการณ์ชีวิตของคนอื่น เพื่อนำมาพัฒนาชีวิตตัวเองต่างหาก คน คน นึง คงไม่สามารถมีประสบการณ์ที่หลากหลาย หรือ ถ้าจะมี การที่คนเราได้เรียนรู้มุมมองของคนอื่นผ่านการอ่านหนังสือก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร ถ้าเรารู้จักที่จะนำมาปรับใช้กับชีวิตเรา นั้นแหละ ยิ่งทำให้เราสามารถมองปัญหาได้อย่างทะลุปุโปร่ง


เพราะ "หนังสือ คือ ปัญญา" (ถ้าใช้ให้เป็นนะคะ ^^)


สำหรับเรา .. หลังจากที่ได้อ่าน เข็มทิศชีวิต แล้ว นำมาปรับใช้กับชีวิตประจำวัน ช่วยได้เยอะเลยทีเดียว รู้สึกเลยว่า การทบทวน หัวใจ ตัวเองนั้นมีประโยชน์อย่างมาก กับตัวเราเอง ทุกครั้งที่เรารู้สึกโกรธ หรือแม้กระทั่งรู้สึกดี มึความสุข และอื่นๆ พอเราหันกลับมามองที่หัวใจเราเอง แทนที่จะพุ่งเป้าไปที่คนอื่นที่มากระทำกับเราทำให้สามารถเรียนรู้ที่จะควบคุมความรู้สึกของตัวเอง เรียนรู้ตัวเอง ว่าเพราะอะไร ทำไม ในตอนนั้น เราจึงได้รู้สึก แบบ นั้น หลังจากที่เคย จิตใจ รุ่มร้อน ตอนนี้เราสามารถควบคุมตัวเองได้ทันเวลา ก่อนที่ความรู้สึกนั้นจะพัฒนาไปเป็นความโกรธ หรือ ความเกลียด คงไม่มีใครปฎิเสธได้หรอกว่า ทุกคนย่อมมีความรู้สึก ทั้งโกรธ เศร้า เหงา ดีใจ เสียใจ มันเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถทบทวน หัวใจ ตัวเอง และควบคุม ความรู้สึกนั้นไม่ให้ลุกลามใหญ่โต จนบางครั้งบางทีอาจแผดเผาคนอื่น หรือ แม้กระทั้งตัวเองได้


"สุข หรือ ทุกข์ เริ่มต้นที่ใจเรา ในยามสุข จงสนุกกับมันให้เต็มที่ แต่อย่าไปยึดติดกับความสุขนั้นมากจนเกินไป หรือ แม้กระทั่งในยามทุกข์ จงเรียนรู้ที่จะหาความสุขจากความทุกข์นั้น แต่ถ้าทำไม่ได้ ก็จงหาวิธีที่จะไม่ได้ความทุกข์ก่อตัวจนเติบโตแน่นคับอก หาทางออกจากทุกข์ไม่เจอ หรือทำให้ความทุกข์นั้นเล็กน้อย จนค่อยๆจางหายไปในที่สุด เหมือน หมอก ควัน ในอากาศ ที่เกิดขึ้นแล้วก็มีวันจางหายไป เช่นกัน"


ความสุข และ ความทุกข์ ทำให้เราได้รู้จักตัวเองมากขึ้น ทำให้เราเกิดปัญญามากขึ้น แต่ถ้าเราไม่รู้จักที่จะควบคุมหัวใจตัวเองแล้ว ก็คงเหมือนกับคนเดินหลงทางในเขาวงกต หาทางออกไม่เจอ

"คุณเลือกที่จะมีเข็มทิศในยามที่ต้องเดินในเขาวงกต หรือ เลือกที่จะเดินแบบไร้ทิศทาง จนสุดท้ายหาทางออกไม่เจอ และจมปลักอยู่ในเขาวงกต นั้นหละ"

วันพฤหัสบดีที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2551

15 ความสัมพันธ์ที่ไม่รอดแน่นอน

1.รักคนมีเจ้าของ
2.รักเขาข้างเดียว
3.รักกันแต่เป้าหมายต่างกัน
4.รักกันแต่ขัดแย้งกันตลอดเวลา
5.รักเพราะประชด
6.รักแบบพึ่งพา ไม่ช่วยตัวเอง
7.รักแบบเหยื่อ/นักกอบกู้
8.รักแบบหวงแจน่าอึดอัด
9.รักแบบเรียกร้อง/ครอบครอง
10.รักนอกใจ
11.รักแบบดึงด้านแย่ที่สุดของกันและกันออกมา
12.รักแบบนายกับขี้ข้า
13.รักแบบเล่นเกมส์
14.รักไม่สมดุล
15.รักเพ้อฝัน

เก็บตกมาฝากจากหนังสือ "ผู้หญิงฉลาดรัก" ค่ะ เด๋วจะมาเขียนเพิ่มเติมทีละหัวข้อนะคะ อิอิ โปรดติดตามตอนต่อไป ^ ^

วันอาทิตย์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2551

. . . L O V E R. . .

P.S. I LOVE YOU
ได้อะไรหลายๆอย่างจากหนังเรื่องนี้ เป็นหนังเรื่องแรกที่ดูแล้วชอบตั้งแต่เริ่มเรื่อง จนกระทั่งจบเรื่อง เค้าสมารถถ่ายทอดออกมาได้สวยงามจริงๆ เป็นหนังที่เต้มเปี่ยมไปด้วยความรัก ทุกรูปแบบ ทุกมุมมอง ..น่าจดจำจริงๆคะ

ความรักที่มอบให้กับตัวเอง


อย่าละเลยตัวเราคะ เพราะความรักเริ่มต้นที่ตัวเรา หากเรารักตัวเองอย่างแท้จริงแล้ว เราก็สามารถที่จะรักคนอื่นได้อย่างแท้จริงเช่นกัน และเมื่อใดก็ตามที่เรารักตัวเองอย่างเปี่ยมล้นได้แล้วความรักก็จะแผ่ขยายเป็นวงกว้างไปยังผู้อื่นรอบๆข้างเรา เหมือน เวลาเราคว้างก้อนหิน ลงแม่น้ำ ก็จะเกิดเป็นวงกลมจากจุดที่ก้อนหินนั้นตกลงน้ำ แล้วแผ่ขยาย ออกเป็นวงกลมที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ก็แล้วแต่ว่า ความรักของใครจะแผ่ขยายได้กว้างเพียงใดก็สุดแต่พลังความรักและเมตตาของแต่ละบุคคล


อย่าละเลยความฝันของตัวเอง
สิ่งนี้ก็สำคัญเป็นอย่างมากเลยคะ อย่าละเลยที่เริ่มต้นทำความฝันของตัวเอง และอย่าเอาความฝันของตัวเองไปผูกติดไว้กับใครโดยเด็ดขาด เพราะเมื่อใดก็ตามที่คนคนนั้นจากเราไป ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ความฝันของเราก็จะจากเราไปพร้อมๆกันคนคนนั้นเช่นกัน ฉันชอบคำพูดคำนี้มากๆ ที่พระเอก เขียนไว้ในจดหมายเพื่อให้นางเอกค้นหาตัวตนของเธอ และความสามารถที่เธอมี
"อะไรที่ทำให้คุณแตกต่างจากคนอื่นในโลกนี้"
พิสูจน์ให้คนทั้งโลกเห็นสิคะว่าคุณก็มีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้ เชื่อมั่นในความสามารถของตัวเอง และที่สำคัญ ค้นหาตัวเองให้พบ

ความรักในครอบครัว
ความรักจากคนในครอบครัวเป็นกำลังใจที่สำคัญ แม่ของนางเอกที่คอยอยู่เคียงข้างนางเอก คอยปลอบใจ ให้กำลังใจ เพื่อให้เธอต่อสู้ฟันฝ่าช่วงวิกฤต ในชีวิตไปได้ พร้อมอ้อมกอดที่อบอุ่น ในยามที่นางเอกท้อแท้และสินหวัง รวมไปถึงน้องสาวผู้น่ารักของนางเอก ที่รวยอารมย์ขันและเสียงหัวเราะ


ความรักและมิตรภาพระหว่างเพื่อน

เพื่อนๆนางเอกที่คอยอยู่เคียงข้างกับเธอในยามที่เธอ ท้อแท้ หดหู่ จากการ จากไป ของสามี(เจอร์รี่)ผู้เป็นที่รัก เพื่อนๆ เธอคอยสนับสนุนเธอเพื่อให้เธอหลุดพ้นจากอาการเศร้าโศก เสียใจและพร้อมที่จะเร่มต้นชีวิตใหม่



ความรักและความสัภพันธ์(กับเพศตรงข้าม หรือแม้ กับเพศเดียวกัน ก็แล้วแต่)

บางครั้งคนที่เราถูกชะตา ถูกใจ คุยถูกคอ อยู่ด้วยแล้วมีความสุข ความรู้สึกเหล่านี้ ก็อาจะไม่ใช่ความรักฉันฑ์ ชู้สาวหรือคู่รักเสมอไป อย่าเพิ่งรีบร้อนในความสัมพันธ์กับเพศตรงข้าม หากยังไม่แน่ใจ เพราะความรักไม่ได้มีปัจจัยแค่นี้ ความรักมีอนุภาพที่ยิ่งใหญ่ และทรงคุณค่า ฉะนั้นเราก็ต้องใช้พลังทั้งแรงกายและแรงใจ เพื่อที่จะได้รักแท้ ที่ทรงคุณค่าเช่นกัน อย่างแดเนียล(ลูกจ้างผับแม่นางเอก) ที่หลงคิดไปว่า รักนางเอกและคิดกับเธอฉันฑ์ คู่รัก และสุดท้ายแล้วความสัมพันธ์ ก็จบลงที่ความเป็นเพื่อนรักกัน ความรัก บางครั้งก็ไม่ได้จบลงด้วยการเป็นคู่รักกันเสมอไป เพราะบางทีความรักด้วยมิตรภาพกับใครบางคน อาจจะสวยงามยิ่งกว่าคู่รักเป็นไหนไหน

รักแท้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ครั้งเดียว . . .หรือกับคนเพียงคนเดียว


....เมื่อใดก็ตามที่เราค้นพบรักแท้แล้วคงไม่มีใครอยากจะสูญเสียไป ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม แต่เมื่อเราได้สูญเสียไปแล้ว ก็ขอจงอย่าหดหู่ ท้อแท้ เสียใจ โศกเศร้า หรือเอาแต่ ทรมานตัวเอง ด้วยการตั้งปณิฎาณว่าจะไม่มีอีกแล้ว จะรักใครไม่ได้อีกแล้วนอกจากคนๆ นั้น เพราะรักแท้ไม่ได้มีแค่ครั้งเดียว และเกิดขึ้นได้เฉพาะกันคนคนเดียว เท่านั้น เมื่อเราสูญเสีย รักแท้ครั้งนี้ไปก็จงเปิดใจและเปิดโอกาสให้กับรักแท้ครั้งใหม่ แต่เราก็ต้องเว้นช่องว่างให้กับความรัก บ้างไม่ใช่สูญเสียไปแล้วหาคนใหม่มาทดแทนเลย เว้นช่องว่างเพื่อที่จะได้ทบทวนตัวเอง และทำอะไรดีๆให้กับตัวเอง เช่น ทำความฝันให้ตัวเอง ทำอะไรที่อยากทำมานานแล้ว

....และสุดท้ายบางครั้งรักแท้ก็อาจจะอยู่ใกล้ๆตัวคุณ โดยที่คุณไม่รู้ตัวว่าคุณมีอยู่ อย่าละเลยคนรอบข้างที่แสนดี คนที่คอยห่วงใย ดูแล เคียงข้าง ให้กำลังใจ ปลอบใจ ไม่ว่ารักแท้นั้นจะมาในรูปแบบไหน ก็ตาม อาจจะเป็นเพื่อนรัก หรือ คู่รัก แต่เมื่อใดก็ตามที่คุณพบรักแท้แล้ว จงดูแลรักษา ไว้ให้ดีดี นะคะ ....และอย่าปิดกั้นตัวเองจากความรักครั้งใหม่เมื่อมันเกิดขึ้น เพราะฉันเชื่อว่า


"รักครั้งใหม่ เกิดขึ้นได้เสมอ"



ปล.แต่ฉันไม่ได้สนับสนุนให้คุณคุณ เจ้าชู้ดะหรอกนะคะ หาความพอดีของความรักให้เจอและรักให้เป็น แล้วคุณจะไม่มีคำว่าเป็นทุกข์จากความรัก
"การสูญเสียความรักไป อาจเป็นจุดเริ่มต้นให้เราพบรักครั้งใหม่"
...จิตเปี่ยมล้น..

วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

...พื้นที่ว่างในใจ...


บางครั้งคนเราก็วิ่ง..ซะจนเหนื่อยนะ เหนื่อยกายไม่เท่าไหร่ แต่เหนื่อยใจนี่สิ ลำบาก


ฉันจะไม่บังคับให้เข้าใจ ..... แต่อย่าเข้าใจตัวฉันผิดก็พอแล้ว


ขอพื้นที่เล็ก..เล็ก ให้ฉันมีคำว่า ส่วนตัว บ้าง คงไม่ว่ากัน


ฉันแค่อยากแก้ไข ปมในใจ และทลายกำแพง ของความเย็นชา ในในตัวเอง


การที่ฉันค้นหาตัวเองนี่มันผิดมากนักหรือ




ฉันแค่อยากรักตัวเองให้เป็น..เพื่อที่ฉันจะได้รักคนอื่นได้อย่างที่รักตัวเอง
ฉันแต่อยากเรียนรู้ กับคำว่า "ชีวิต" ก็เท่านั้นเอง

ขอเวลาให้ฉันได้เป็นคนใหม่..ที่เข้มแข็ง..และดีกว่าที่เป็นอยู่



ไม่ต้องอยู่เคียงข้าง..ขอแค่อย่าเหินห่างก็พอ


ไม่ต้องคอยปลอบใจ...ขอแค่อย่าผลักใสฉันเลย


ไม่ต้องรักฉันในตอนนี้.....แต่อย่าเพิ่งหลีกหนีฉันไปไหนไกล


แค่พื้นที่ว่างไว้ในใจ....เว้นมันไว้...เพื่อตัวเอง








อย่าเพิ่งคาดหวังในตัวฉันมากเกินไป


อย่าให้ฉันเป็นในสิ่งที่ไม่ใช่ฉัน


อย่าเพิ่งตัดสินตัวฉันถ้ายังไม่รู้จักฉันดีพอ


เพราะขนาดตัวฉันเอง...ฉันยังไม่รู้จักตัวเองทุกแง่มุม

..สิ่งสำคัญในชีวิต..

บางทีคนเราก็ละเลยสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตไป...สิ่งที่สำคัญสิ่งแรกนันก็คือ "ตัวเอง" ไม่ได้หมายถึงให้เห็นแก่ตัวนะคะ เพราะคำว่ารักตัวเอง กับ เห็นแก่ตัวมันคนละความหมายกัน ต้องเน้นย้ำคำนี้เอาไว้เสมอ เพราะตัวฉันเองก็ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่ยังเล็กๆเลยว่า อย่าชมตัวเองต้องคิดถึงคนอื่นก่อนเสมอ ฉันถึงได้ละเลยความสุขของตัวเอง เพียงเพราะต้องคิดถึงความสุขของคนอื่นก่อนเสมอ ฉันต้อง(จำใจ)ยอมทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ ยอมไม่กลัวในสิ่งที่ฉันกลัวจับใจ เพียงเพราะถูกสอนมาให้ยอมพี่ ฉันต้องยอมพี่เสมอ (แม่ใช้คำนี้กับฉันเป็นประจำ) ตอนนี้ฉันก็เพิ่งรู้ว่าที่แท้ ที่แม่พูดอย่างนี้กับฉัน เป็นเพราะว่าแม่รู้สึกผิดที่ไม่ได้ดูแลพี่ๆ ทั้ง 2 คนของฉันในตอนเด็ก เลยเอาทุกอย่างมาลงให้ฉันเป็นคนรับหน้าที่แทน แม่ไม่กล้าขัดใจพี่ๆ ของฉันเพียงเพราะอยากชดเชยให้กับพี่ๆ ฉันก็เลยต้องพลอยทำอย่างที่แม่ต้องการมาตั้งแต่จำความได้ ทำให้ตัวฉันเองรู้สึกตลอดเวลาว่า ฉันเอาเปรียบพี่ๆ เพราะฉันได้ใกล้ชิดกับแม่ ได้อยู่กับแม่ พี่ๆ ก็เลยพลอย โทษแต่ว่าที่ฉันได้ดีทุกวันนี้เป็นเพราะว่าแม่สอนมาดี ได้อยู่กับแม่ ไม่เหมือนพวกพี่ๆที่ต้องอยู่กับยายและน้า ที่กดขี่เค้า อันนี้จริงๆแล้วก็มีส่วนด้วยฉันไม่เถียงหรอก แต่พี่ๆของฉันชอบบอกว่า อิจฉา ฉัน ฉันไม่ได้มีความสุขหรอกนะที่ได้ยินแบบนั้น ใช่ว่าชีวิตฉันจะสบายหนักหนา
เพราะตั้งแต่ฉันจำความได้ก็โดนเพื่อน หรือ คนอื่น มองด้วยสายตาดูหมิ่น แล้วก็ล้อ อยู่ตลอดว่า ทำไมกล้าเรียก พ่อ คนอื่น ว่าเป็นพ่อของตัวเอง นั่นไม่ใช่พ่อของเธอนะ ได้ยินแบบนี้ ลองนึกถึงสภาพจิตใจของเด็กคนนึงสิคะว่าจะรู้สึกยังไง ตอนแรกๆฉันก็ร้องไห้ฟูมฟาย แต่พอบ่อยเข้า ฉันก็เริ่มสร้างกำแพง แห่งความเย็นชาขึ้นมาในหัวใจ เพื่อไม่ให้ใครต่อใครล่วงรู้ว่าในใจฉันเศร้าและอ่อนแอ แค่ไหน ฉันทำมาจนติดเป็นนิสัย เมื่อใดก็ตามที่รู้สึกผิดหวัง อ่อนแอ เศร้าใจ ฉันจะ สร้างกำแพงนั่นขึ้นมาทุกครั้ง กำแพงแห่งความเย็นชา โดยเฉพาะเมื่อใดก็ตามที่ฉันรู้สึกกล้ว และเหงา ว้าเหว่ ที่สำคัญคือฉันไม่ชอบระบายความรู้สึกที่แท้จริงกับใคร จนบางครั้งกลายเป็นคนเก็บความรู้สึกเอาไว้ ฉันมารู้ตัวอีกที ก็ตอนที่เจอะเจอเรื่องอะไรกระทบกระเทือนจิตใจ ฉันจะอึ้งไปพักนึง แต่แค่แป๊บเดียวเท่านั้น (ย้ำว่าแป๊บเดียว) หลังจากที่อึ้งไป ฉันก็จะกลายเป็นคนที่ร่าเริง(ผิดปกติ)เพื่อกลบเกลื่อนความเจ็บปวดข้างใน แต่พอเมื่อไหร่ก็ตามที่อยู่คนเดียว ไม่ว่าจะบนถนนทางเดิน บนรถเมย์ ในบนลิฟท์ ก็ตามน้ำตาฉันจะไหลออกมา มันไหลออกมามากมายซะจนบางทีฉันยังตกใจว่า นี่ฉันเสียใจมากมายขนาดนี้เลยเหรอ ...ฉันทำจนเป็นนิสัยติดตัวไปแล้ว แต่คนที่รู้ดีที่สุดก็คือแม่ของฉันเอง แม่รู้เลยว่าฉันมีเรื่องอะไรในใจ ทั้งๆที่แค่ฟังเสียงของฉัน ไม่ว่าฉันจะพูดหรือพยายามร่าเริงแค่ไหนก็ตาม ฉันโกหกแม่ไม่ได้สักที แต่ต่อจากนี้ไปฉันสัญญากับตัวเองแล้วว่า เมื่อฉันเจอเรื่องอะไร ฉันจะมีสติและใช้ปัญญาในการแก้ไข และรับมือกับเรื่องรามต่างๆที่เกิดขึ้น ฉันจะเลิกนิสัยเก็บกดอารมณ์เอาไว้แล้ว(แต่ไม่ใช่ว่าฉันจะระเบิดอารมณ์ตรงนั้นเลยนะ) ฉันจะปรับเปลี่ยนนิสัยที่แย่ๆของตัวเองให้ดีขึ้น ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ เพื่อตัวฉันเอง และ ครอบครัว รวมไปถึงคนรอบๆข้างฉันด้วย จากนี้ไปฉันจะปฎิวัติตัวเองซะใหม่ เพื่อชีวิตที่มีความสุข ความสุขที่แท้และยั่งยืน ฉันจะทลายกำแพงนั้นให้จงได้ด้วยมือของฉันเอง....

วันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

P.S. I LOVE YOU

เรื่องย่อ
สาวสวยเก่ง ฮอลลี่ เคเนดี้ (ฮิลลารี่ สแวงก์) แต่งงานกับเจอร์รี่ (เจอราร์ด บัตเลอร์) หนุ่มไอริชผู้น่ารักและรวยอารมณ์ขันที่เธอรักมากที่สุดในชีวิต เมี่อมะเร็งพรากเขาไป จึงเหมือนชีวิตครึ่งหนึ่งของเธอถูกพรากไปด้วย คนเดียวในโลกที่เข้าใจเธอจากไปเสียแล้ว เจอร์รี่เองก็รู้ว่าเขาคือคนที่รู้จักฮอลลี่ดีที่สุด เขาจึงเตรียมแผนบางอย่างไว้สำหรับฮอลลี่ ก่อนตาย เจอร์รี่เขียนจดหมายถึงฮอลลี่จำนวนหนึ่ง ไม่ใช่เพื่อนำทางเธอให้พ้นจากความเศร้าเท่านั้น แต่เพื่อให้เธอค้นพบตัวเองอีกครั้งด้วย จดหมายฉบับแรกมาถึงฮอลลี่ในวันเกิดครบรอบ 30 ปีของเธอ พร้อมกับเค้กและเครื่องบันทึกเสียงที่ทำให้ฮอลลี่ช็อคมาก เสียงของเจอร์รี่อยู่ในนั้น และเขาขอให้เธอ “มีความสุขกับชีวิต” หลายสัปดาห์และหลายเดือนต่อมา ฮอลลี่ก็ได้รับจดหมายจากเจอร์รี่อีก แต่ละฉบับล้วนส่งมาในรูปแบบไม่ธรรมดา เพราะมันทำให้เธอได้ผจญภัยกับสิ่งใหม่และทุกฉบับลงท้ายด้วยประโยคเดียวกันว่า “ปล.ผมรักคุณ”

ทั้งแม่ (แคธี่ เบตส์) และเพื่อนสนิทของฮอลลี่อย่าง เดนนิส (ลิซ่า คูโดรว์) และชารอน (จิน่า เจอร์ชอน) ต่างเป็นห่วงว่าจดหมายจากเจอร์รี่จะทำให้ฮอลลี่ยึดติดกับอดีต แต่ความจริงแล้ว จดหมายแต่ละฉบับผลักดันให้เธอก้าวสู่อนาคตอย่างมีความสุขต่างหาก ข้อความในจดหมายนำทางฮอลลี่สู่การค้นพบอันน่าตื่นเต้น, ซาบซึ้ง และหลายครั้งก็หรรษาของชีวิตคู่, มิตรภาพ และอานุภาพความรักที่เปลี่ยนจุดจบแห่งความตายให้กลายเป็นการเริ่มตันชีวิตใหม่

วันเสาร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

..ต่างความรู้สึก...ต่างความหมาย...

คนที่ "เข้าใจ" อาจไม่ใช่คนที่ เรารัก
คนที่ "เรารัก" อาจไม่ใช่คนที่ เข้าใจ

คนที่ "ห่วงใย" อาจไม่ใช่คนที่ เรารัก
คนที่ "เรารัก" อาจไม่ใช่คนที่ ห่วงใย

คนที่ "เคียงข้าง" อาจไม่ใช่คนที่ เรารัก
คนที่ "เรารัก" อาจไม่ใช่คนที่ เคียงข้าง

คนที่ "ดูแล" อาจไม่ใช่คนที่ เรารัก
คนที่ "เรารัก" อาจไม่ใช่คนที่ คอยดูแล

คนที่ "เอาใจใส่" อาจไม่ใช่คนที่ เรารัก
คนที่ "เรารัก" อาจไม่ใช่คนที่ คอยเอาใจใส่

คนที่ "คิดถึงเราเป็นแรก" อาจไม่ใช่คนที่ เรารัก
คนที่ "เรารัก" อาจไม่ใช่คนที่ คิดถึงเราเป็นแรก

คนที่ "คอยให้กำลังใจ" อาจไม่ใช่คนที่ เรารัก
คนที่ "เรารัก" อาจไม่ใช่คนที่ คอยให้กำลังใจ

คนที่ "คอยปลอบโยน" อาจไม่ใช่คนที่ เรารัก
คนที่ "เรารัก" อาจไม่ใช่คนที่ คอยปลอบโยน









แ ล ะ ค น ที่ เ ร า รั ก อ า จ จ ะ เ ป็ น ค น เ ดี ย ว กั บ ค น ที่ ไ ม่ เ ค ย รั ก เ ร า

..เริ่มต้น..

"ชีวิต" สำหรับคุณคืออะไร?


สำหรับฉันคือ การเริ่มต้น ..เพราะฉันเชื่อว่า ชีวิตสามารถเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ ถึงแม้บางครั้งอาจจะเจอเรื่องร้ายๆมา แต่ถ้าเราไม่เจอเรื่องร้ายๆ เราคงไม่เห็นคุณค่าของสิ่งดีๆที่เข้ามาในชีวิต เมื่อใดก็ตามที่เจอเรื่องร้ายๆ ให้คิดถึงเรื่องที่ร้ายยิ่งกว่า แล้วเมื่อไหร่ ที่ได้เจอะเจอกับเรื่องดีๆ ให้เรานึกถึงตอนที่เจอเรื่องร้ายๆ "จะได้เห็นคุณค่าในเรื่องดีๆที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนั้น"

..คิดเหมือนฉันมั้ย..คนเราพอเจอะเจอเรื่องร้ายๆ ก็พาลจะรับไม่ได้ ลองกลับไปนึกดูสิว่าวันๆ เราเจอเรื่องร้ายๆกันสักกี่เรื่องกันเชียว เราร้องไห้บ่อยแค่ไหนกัน เมื่อเทียบกับวันที่เรามีความสุขแล้ว วันนึงๆ เราแทบจะไม่ได้ร้องไห้ ว่ามั้ย เราหัวเราะมากกว่าร้องไห้ซะอีก .. เพราะซะนั้นในยามที่มีน้ำตา ก็จงร้องออกมาไห้เต็มที่ ซึบซับ กับน้ำตาทุกหยด อย่าเก็บกดเอาไว้ ให้วันต่อไปต้องมีน้ำตาอีกเลย ร้องไห้ให้เต็มที่ เพราะนานๆที่เราจะมีน้ำตา แค่มีน้ำตา ใช่ว่า จะไม่หัวเราะ หรือยิ้มได้ ....




ชีวิต คือ การเดินทาง และในการเดินทางไม่มีใครไม่เหนื่อย ไม่มีใครไม่ท้อ ไม่มีใครไม่สูญเสีย แต่จะมีสักกี่คนที่สามารถตั้งรับกับสิ่งที่ ชีวิต กำลังพาเราเดินทางผ่านไป เส้นทางแต่ละเส้นทาง ที่ชีวิตนำพาให้เราเดินผ่าน นั้นหลากหลาย อาจร้ายบ้าง อาจดีบ้าง แต่นั่นก็คือ"เส้นทางชีวติ" และเส้นทางที่เราผ่านกำลังสอนให้เรารู้จักคำว่า 'อดทน' และมีสติ


ฉันเองก็เป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่ง บางครั้งก็อ่อนแอ บางครั้งก็ต้องการกำลังใจ บางครั้งการต้องการความใส่ใจ แต่นั่นหล่ะนะ ทุกสิ่งทุกกอย่าง ต้องเริ่มต้นมาจากตัวเราเองเป็นอันดับแรก เราต้องให้กำลังใจตัวเอง ในยามที่อ่อนแอ เราต้องคอยเตือนใจตัวเองในยามที่ผิดพลาด เอาใจใส่ตัวเองทุกเวลา ..จำเอาไว้นะ

วันพฤหัสบดีที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

วันแห่งความทุกข์ในรอบเดือน

เพื่อนหญิงของฉันทั้งหลายมีอาการเหล่านี้(เหมือนฉันหรือป่าว T^T) ถ้ามีเรามาช่วยกันแก้ไขไปพร้อมๆกันนะค๊ะ (สู้ๆ)

การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเพศในระหว่างมีประจำเดือนนี้มีศัพท์เรียกหลายอย่าง เช่น premenstrual syndrome (PMS), premenstrual tension หรือ dysmenorrhea ซึ่งยังไม่มีใครตอบได้ชัดเจนว่าทำไมอาการเหล่านี้ถึงเกิดขึ้นกับเฉพาะบางคน และแต่ละคนที่เป็นก็อาจมีอาการต่างๆ ไม่เท่ากันเสมอไป คุณผู้หญิงที่ไม่ค่อยแน่ใจว่าตัวเองมีอาการของ PMS หรือไม่ อาจลองใช้วิธีจดบันทึกของอาการที่เกิดขึ้นก่อนที่จะมีประจำเดือนดูสักประมาณ 2-3 เดือนติดๆ กัน เพื่อสังเกตว่าเกิดอาการคล้ายๆ กันอย่างใดหรือไม่ มีความรุนแรงขนาดไหน และมีระยะเวลาเท่าใด รวมทั้งผลกระทบทางอารมณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น หากพบว่ามีก็คงจะพอสังเกตเห็นได้ว่าเราเข้าข่ายที่ว่า และเมื่อคุณไปปรึกษาแพทย์ บันทึกที่ทำไว้นี้ก็จะช่วยให้แพทย์วินิจฉัยได้ง่ายขึ้นเพื่อหาทางบรรเทาอาการต่อไป

อาการไม่สบายตัวก่อนมีประจำเดือนในแต่ละคนอาจเกิดขึ้นแตกต่างกัน แต่โดยรวมแล้วสามารถแบ่งได้เป็น 2 ชนิดคือ อาการทางกาย และอาการทางจิตใจ

  • อาการทางกาย ได้แก่
  • รู้สึกตัวเองอ้วน พองขึ้น ทำให้แน่นและอึดอัด เหมือนว่ามีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น
  • เจ็บปวดแบบเป็นตะคริวที่บริเวณท้องน้อย(มดลูก)
  • เต้านมคัดตึง เจ็บ
  • สิวปะทุบริเวณใบหน้า
  • ครั่นเนื้อครั่นตัว เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวเย็น
  • หิวบ่อย
  • วิงเวียนศีรษะคล้ายจะเป็นลม
  • รู้สึกเหนื่อยอ่อน หมดแรง
  • ใจสั่น
  • ปวดหัว
  • ปวดบริเวณกระดูกเชิงกราน
  • ปวดหลัง หรือปวดกล้ามเนื้อ
  • นิสัยการขับถ่ายเปลี่ยนไปจากปกติ เช่น ท้องผูก หรือท้องเสีย

อาการทางจิตใจ ได้แก่

  • หงุดหงิด ฉุนเฉียวง่าย
  • ก้าวร้าว
  • เครียด
  • วิตกกังวล
  • ซึมเศร้า หดหู่
  • อารมณ์แปรเปลี่ยนง่าย เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย
  • เฉื่อยชา ความสนใจต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งเปลี่ยนไป
  • นอนไม่หลับ
  • เบื่ออาหาร
  • อยากร้องไห้
  • อารมณ์ทางเพศเปลี่ยนไป
  • กระหายน้ำบ่อยๆ
  • รู้สึกสับสน

และเนื่องจากยังไม่มีใครสามารถระบุสาเหตุที่แน่ชัดของการเกิดอาการไม่สบายตัวก่อนมีประจำเดือนเหล่านี้ได้ นอกจากตั้งข้อสังเกตกันไว้ต่างๆ นานา บ้างก็ว่าเกิดจากขาดวิตามิน B แคลเซียม และแมกนีเซียม บ้างก็ว่าเกิดจากการกินยาเม็ดคุมกำเนิด บ้างก็ว่าเกิดระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ หรือระดับธัยรอยด์ฮอร์โมนต่ำไป ทำให้การรักษาเยียวยาจึงได้แต่รักษาไปตามอาการ เช่น ปวดท้องก็ให้ยาแก้ปวด เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามวิธีที่แพทย์เน้นเป็นพิเศษเพื่อบรรเทาอาการทรมานที่ว่านี้ก็คือ การเปลี่ยนรูปแบบวิถีชีวิตบางอย่างจะช่วยได้มาก ลองพิจารณาวิธีที่เราแนะนำต่อไปนี้แล้วลองนำไปปฏิบัติตามทีละขั้นเพื่อบรรเทาอาการไม่สบายตัวในช่วงมีประจำเดือนให้รู้สึกดีขึ้น

  • รับประทานผลไม้ ผัก ธัญพืชต่างๆ ที่มีกากใยเป็นประจำสม่ำเสมอ
  • ลดเกลือ หรืออาหารเค็ม เพราะเกลือจะมีผลต่ออาการบวมน้ำ และการตึงคัดที่เต้านม
  • จำกัดการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน ทั้งในชา กาแฟ ช็อคโกแลต รวมทั้งเครื่องดื่มประเภทโคคา-โคลา เพราะคาเฟอีนก็มีผลต่อการระคายเคืองและตึงคัดที่เต้านมเช่นเดียวกัน
  • หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะเวลาที่คุณรู้สึกหดหู่หรือเครียด
  • พยายามทำจิตใจให้ผ่องใส ไม่จมอยู่ในความเครียด ด้วยการหาวิธีผ่อนคลายแบบต่างๆ เช่น การนั่งสมาธิ เล่นโยคะ การบำบัดโดยใช้กลิ่นหอมเข้าช่วย (อโรมาเธราปี) แม้กระทั่งการนอนแช่น้ำอุ่นๆ เวลาอาบน้ำสักพักหนึ่ง
  • การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยครั้งละประมาณ 30 นาที 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ นอกจากจะช่วยลดความเครียดแล้ว ยังช่วยให้คลายความหงุดหงิดและรู้สึกกับตัวเองดีขึ้นมาก
  • หากเกิดอาการข้อเท้าบวม ให้บรรเทาด้วยการนอนราบ และยกขาขึ้นสูง
  • ปรึกษาแพทย์ถึงการได้รับสารอาหารบางชนิดเพิ่มขึ้น เช่น วิตามินบี วิตามินอี แคลเซียม แมกนีเซียม หรือน้ำมันดอกอีฟนิ่งพริมโรส
    หากอาการเป็นมาก ควรพบแพทย์
  • ที่สำคัญอย่างยิ่งคือ ควรพูดคุยถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นและอาการที่เป็นกับคู่ของคุณ หรือคนใกล้ชิด เพื่อให้เขาเข้าใจ และจะได้ช่วยแบ่งเบาภาระที่คุณต้องทำ เช่นช่วยเลี้ยงลูก หรือทำงานบ้าน รวมทั้งไม่ถือสาหาความกับคุณ ในเวลาที่คุณหงุดหงิดฉุนเฉียว หรือไม่สบายตัว

ในเมื่อคุณต้องเผชิญกับช่วงระหว่างเวลาแห่งทุกข์อย่างนี้เป็นประจำทุกเดือน ก็คงยากที่จะเลี่ยงพ้น แต่คุณก็สามารถทำให้ตัวเองมีความสุขกับชีวิตได้ ด้วยการเข้าใจในธรรมชาติในแบบที่มันเป็น และให้รางวัลกับชีวิตด้วยการหากิจกรรมรื่นรมย์ต่างๆ ทำ ออกไปช้อปปิ้งให้สบายใจ หรือไปทำผม ทำเล็บ นวดหน้า อย่างไรที่มีความสุขก็ทำซะ แล้วคุณจะพบว่าคุณสามารถผ่านช่วงเวลาเหล่านี้ได้ไม่ยากเลย

วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

..ที่ใดมีรัก..นี่นั่นมีทุกข์(จริงหรือ)..

เคยได้ยินนิยามเกี่ยวกับความรักมาตั้งกะจำความได้ว่า "ที่ใดมีรัก..ที่นั่นมีทุกข์" ตอนที่ได้ยินก็ไม่เข้าใจหรอกนะ(ยังเด็ก) แต่พอเริ่มจะมีความรู้สึกพิเศษกับใครสักคน(ไม่ขอเรียกว่ารัก นะค๊ะ)ก็เลยพลอยเชื่อไปกับบทนิยามความรักนี้



....แต่มาตอนนี้ ฉันไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง 100 % เลยค่ะ ฉันกล้าใช้คำว่า 100 % เพราะถ้าใช้บทนิยามของความรักคำนี้มาตัดสิน อนุภาพ ของ "ความรัก" ไม่ได้หรอก (อันนี้ก็แล้วแต่ความคิดส่วนบุคคลนะค๊ะไม่ว่ากัน) เพราะฉันเชื่อมั่นในรักแท้..ความรักไม่เคยทำร้ายใครหรอกค่ะ...มีแต่เราที่เอาความรัก(ที่ไม่ใช่รักแท้) มาทำร้ายตัวเองและคนรอบข้างต่างหาก..



...ฉันเชื่อว่า "เราไม่ได้เป็นทุกข์เพราะความรัก...แต่เราเป็นทุกข์เพราะความต้องการ" ง่ายๆ ทางพุทธศาสนา เรียกว่า "กิเลส" หนักเข้าก็คือ "ตัณหา" ไม่ได้หมายถึงเฉพาะเรื่องเพศ หรอกนะค๊ะ แต่ความหมายของความต้องการ และความต้องการ คนเรามันกว้าง ไม่เหมือนกัน และไม่มีที่สิ้นสุด...



ยกตัวอย่างเช่น เวลาที่รู้สึกพิเศษกับใคร(อย่าเรียกว่ารักเลยค๊ะ) ก็อยากให้เค้าทำยั่งงั้นให้ ทำอย่างนี้ให้ อยากให้เค้าอยู่ด้วย อยากให้เค้ามาหา อยากให้เค้ามารับ - ส่ง อยากให้เค้าเห็นความสำคัญ และอื่นๆอีกมากมาย (สังเกตดูนะค๊ะ ประโยคเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่มีคำว่า "อยาก")



พอเค้าไม่ทำอย่างที่เราต้องการแล้วก็เกิดความทุกข์ เห็นมั้ยค่ะว่าคำนี้มาแล้ว... ควมรักจะเกิดความทุกข์ก็ต่อเมื่อเรารักด้วยกิเลส ค๊ะ แล้วรักแท้ ก็ไม่ใช่ รักด้วยกิเลส



แต่รักแท้...จะทำให้คนที่รู้สึกรัก อิ่มเอมในใจ สงบ ไม่รุ่มร้อน แม้จะสมหวังในรักนั้นหรือไม่ก็ตาม....ไม่ว่าใครก็ใครอ่ะนะ เวลาที่รู้สึกพิเศษกับใครสักคน ก็ต้องมีหลุดบ้างเป็นธรรมดา ขึ้นอยู่กับว่าเราจะสามารถเรียกสติ กลับคืนมาได้หรือป่าว (ฉันก็เป็น ก็ต้องควบคุมกันไป) เอาเป็นว่า ความรักมีอนุภาพที่ยิ่งใหญ่ ขึ้นอยู่กับว่าเรารักเป็นหรือไม่ ถ้ารักไม่เป็นก็ทุกข์กันไป ส่วนใครที่ มีรักแท้ก็ขอให้รักษารักนั้นไว้นานๆ ใครที่ยังไม่เจอ(เหมือนฉัน ^ ^) ก็ขอให้ได้พบในไม่ช้านะค๊ะ ...ที่แน่ๆคือก่อนที่เราจะรักใคร....ให้เรารักคนสำคัญที่สุดซะก่อน....นั่นคือรักตัวเอง....เริ่มต้นทำสิ่งดีๆ ให้ตัวเองตั้งแต่วันนี้ไม่ต้องรอให้ใครมาทำให้เรา...



"รักตัวเองให้ได้ ก่อนที่จะรักคนอื่น หรือ ก่อนให้คนอื่นมารัก"

ขอเป็นกำลังใจให้เพื่อนหญิงทุกคนค่ะ รวมทั้งตัวฉันเองด้วย เรามาร่วมเดินทางไปด้วยกัน ...... รักตัวเองให้มากๆนะค๊ะ(อ้อ แล้วก็คนละเรื่องกับ เห็นแก่ตัวนะค๊ะ^ ^)

..จิตเปี่ยมล้น..

วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

บ้านในฝัน

ทำความฝันให้เป็นความจริงไปแล้ว..(เรียนจบ ^ ^) จากนี้คงต้องลุยงานเพื่อทำคาวมฝันต่อไป นั่นคือ "บ้านในฝัน" อยากมีบ้านเป็นของตัวเองสักหลัง ไม่ต้องใหญ่โต ขอหลังเล็กๆ ใกล้ๆ ภูเขา มองออกไปจากหน้าต่างห้องนอน เห็นหมอกจางๆ และภูเขา ต้นไม้ เงียบสงบ ไม่วุ่นวาย ...

บ้านมีระเบียง..มีเก้าอี้ให้นั่งพักผ่อน มีโต๊ะเล็กๆ เอาไว้นั่งอ่านหนังสือ เล่มโปรด... ตอนกลางคืน..ก็ออกมานอนดูดาวได้...

ห้องนอนโล่งๆ ไม่ต้องมีอะไรมากมาย..เตียงเล็กๆติดกับพื้น..มีชั้นสำหรับวางหนังสือ หรืออาจจะมีห้องเล็กๆ อีกห้องที่สามารถเปิดจากห้องนอน แล้วทะลุไปถึงได้ เอาไว้เก็บหนังสือ..
..มีโต๊ะญี่ปุ่นเล็กๆ ที่พับเก็บได้..มีโต๊ะเครื่องแป้ง..ที่ไม่ต้องเกะกะ.. ตอนกลางคืนก็จุดเทียนหอม กลิ่น ดอกโมก ที่เราชื่นชอบ ..พื้นห้องเป็นพื้นไม้ขัดมัน..ในห้องไม่อยากให้มีตู้อะไรทั้งนั้น เสื้อผ้า ขอเป็นราวแขวน ที่มีม่านปิดไว้..หน้าต่างเป็นกระจกทรงสูง..พอเปิดผ้าม่านสีขาวออกไปจะมีระเบียง..เอาไว้ปลูกดอกมะลิ..ที่เราก็ชอบเช่นกัน อิอิ
ที่ระเบียงมีเก้าอี้นอน เอาไว้นอนเอกเขนก..อ่านหนังสือและดูดาว ..ตอนแรกกะจะทำ ชั้นเดียว แต่พอนึกภาพมาถึงตรงนี้ คงต้องเป็น 2 ชั้นแล้วมั้งเนี่ย..

ชอบห้องโล่งๆ....สว่างๆ..สีขาว..พื้นไม้ขัดมัน...ผ้าม่านสีขาว...ไม่ต้องมีเฟอร์นิเจอร์อะไรทั้งนั้น..โดยเฉพาะตู้จะไม่ให้มีในบ้านเลย นอกจากตู้เก็บของในครัวเล็กๆ...และก็ตู้เก็บหนังสือในห้องสมุด(ส่วนตัวเล็กๆ) บางทีถ้าเราเขียนเก่งๆ อาจจะใช้เป็นห้องเขียนหนังสือไปเลย แต่ตอนนี้ยังเขียนไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ ^ ^
อะบรรยายถึงไหนแร้วนะ....อ้อ ต่อไปก็ห้องนั่งเล่นแหระกัน ห้องนั่งเล่นมีเก้าอี้ไม้สำหรับเอนหลังหรือนอนได้ แล้วก็มีโต๊ะเตี้ยๆ... (ไม่ชอบเก้าอี้แบบในรูปนี้อ่ะ)

หน้าต่างเป็นกระจกทรงสูง..มองออกไปเห็นสวนหย่อมเล็กๆ..แน่นอนห้องนั่งเล่นต้องอยู่ชั้นล่าง...

ต่อไปก็ห้องครัวไม่ใหญ่มาก..ขอเป็นห้องเล็กๆ..ที่สะอาดตา.. คงไม่หรูหราขนาดนี้อ่ะนะ - -

แต่ชอบห้องโล่งๆ คล้ายๆ แบบนี้




ปล.ตอนนี้ยังนึกภาพไม่ออก...รูปที่เอามาก็ยังไม่โดนใจเท่าไหร่ - -" เด๋วมาเพิ่มเติมแหร่ะกัน...จริงๆแล้วไม่ชอบเก้าอี้ในรูปเลย..แต่ชอบบรรยากาศนอกระเบียง

..ทัณฑิมา..สู้สู้ สู้ตาย...เพื่อบ้านในฝัน... ^_________^

วันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

คน 1 คน

การที่เราจะคบหาหรือรู้จักใครสักคน ไม่ว่าจะในฐานะอะไรก็ตาม
สิ่งหนึ่งที่ควรท่อง ควรจำไว้อยู่เสมอก็คือ
" คน " เป็นสิ่งมีชีวิต ที่มีทั้งด้านบวก และด้านลบ อยู่ในนั้น

อย่าตั้งใจกับคน 1 คนมากเกินไป
เพราะไม่มีใครอยากเป็นต้นเหตุของความล้มเหลว

อย่าคาดหวังกับ คน 1 คนมากเกินไป
เพราะไม่มีใครสามารถเป็นทุกอย่าง ที่ทุกคนอยากให้เป็น

อย่าให้เวลากับคน 1 คนมากเกินไป
เพราะไม่ว่าใครก็อยากมีช่วงเวลาของความเป็นส่วนตัว. . . คนเดียว ....

อย่าพยายามเปลี่ยนแปลงคน 1 คนมากเกินไป
เพราะนั่นจะทำให้เค้าไม่หลงเหลือความเป็นตัวของตัวเอง

อย่าควบคุมชีวิตคน 1 คนมากเกินไป
เพราะมนุษย์มักจะหาวิธีการแทรกตัว เพื่อออกมาจากกฎที่ถูกกำหนด

อย่าบีบบังคับคน 1 คนมากไปกว่านี้
เพราะถ้าคนๆนั้น หลุดจากภาวะบีบบังคับมาได้ คุณจะกลายเป็นคนที่ถูกหันหลังให้ในทันที

" คน" เป็นสิ่งมีชีวิตที่มี 2 ด้าน...
ไม่ใช่ภาพวาด ที่จะสวยงามอยู่ตลอดเวลา

...อยากรู้จักใครสักคน ต้องหัดเรียนรู้ ไม่ใช่เปลี่ยนแปลง...

ปล.ขอขอบคุณบทความดีๆ นะค๊ะ(ไม่ขอเอ่ยนามละกัน)

ไม่มีอะไรน่ากลัว เท่ากับความอ่อนแอในใจตัวเอง..

บนเส้นทางชีวิต....
มีถนนนับร้อยพันให้เราเลือกเดินทาง
แต่ถนนสายเดียวที่จะพาเราไปถึงเป้าหมายได้
คือถนนที่ชื่อว่า “ กำลังใจ ”


มีบ้างมั้ย...ที่คุณเคยรู้สึกว่า ชีวิตมันไม่ค่อยแฟร์เท่าไหร่

บางคนอาจเคยรู้สึกเบื่อหน่าย หรือไม่เข้าใจ...
นึกสงสัยว่าทำไมชีวิตเรา ถึงได้มีปัญหามากมายนักให้ตามแก้
มาก...เสียจนบางครั้งก็เอาไม่อยู่เหมือนกัน...

บางช่วงในชีวิต...ก็เคยมีบ้างกับภาวะแบบนี้
เลยเข้าใจได้ดีเลยว่า ในเวลาแบบนั้น
ไม่มีอะไรที่จะสำคัญมากไปกว่าการหันมาเติมกำลังใจให้ตัวเอง
แต่เราจะทำมันได้ดีได้อย่างไร ถ้าเรายังมองตัวเองไม่ทะลุ
และมีความเข้าใจบางอย่างไม่ลึกซึ้งเพียงพอ ...?

โดยปกติแล้ว...ฉันจะเป็นคนที่ไม่ชอบเล่าหรือระบาย
เรื่องราวส่วนตัวกับใครในยามที่ชีวิตมีปัญหา...
แต่ก็เป็นเรื่องแปลกเหมือนกัน ที่ ณ เวลาดังกล่าว
ฉันมักจะได้รับแง่คิดดีๆ เกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ
จากการสนทนาพูดคุยอย่างไม่ตั้งใจอยู่เสมอ
และคำพูดที่ดีที่สุดอันหนึ่งที่ฉันจำได้ดีจากเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งก็คือ
เรื่องเกี่ยวกับปัญหาต่างๆในชีวิต เขาพูดในทำนองว่า

...ชีวิตคนเรานั้นมีปัญหากันทุกคน...
แต่คำว่าปัญหานั้น ถ้าแยกแยะมันจริงๆ จะมีอยู่ 2 อย่าง
คือ ปัญหา ที่ใช้ในภาษาอังกฤษว่า ‘problem’ ...
กับอีกคำหนึ่ง....ที่ใช้คำว่า ‘conflict’ ...

สำหรับปัญหาที่เป็น ‘problem’ นั้นหมายถึง ปัญหาภายนอก
ซึ่งมีมากมาย และเกิดขึ้นอยู่เสมอในชีวิตประจำวัน
ปัญหาชนิดนี้...ถ้าเราได้เผชิญหน้ากับมันมากเท่าไหร่
ก็ยิ่งจะทำให้เราฉลาดขึ้น เพราะมันช่วยให้เกิดการเรียนรู้ ...
เหมือนกับกบที่มาเหลาสติปัญญาของเรา ให้แหลมคมขึ้นเรื่อยๆ

แต่ปัญหา อีกคำหนึ่ง ที่หมายถึง ‘conflict’ นั้น คือปัญหาภายใน
ซึ่งหมายถึงความขัดแย้งในจิตใจ ปัญหาตัวนี้...นี่เอง
ที่เหมือนเศษผงที่ติดอยู่ในตาของเรา และถ้าเราเขี่ยมันออกไปได้เมื่อไหร่
เราจะเลิกกลัวกับปัญหาภายนอกได้ทันที...

ในทางกลับกัน- -ถ้า ‘conflict’ นี้ยังติดค้างอยู่ในใจไปเรื่อยๆ
สิ่งต่างๆ ก็จะยุ่งยากลำบากขึ้น ใจจะอ่อนแอระส่ำระสาย..
ความสุขหายไป พร้อมๆ กับกำลังใจของเราก็พลอยค่อยๆ หายไปด้วยเช่นกัน...
แต่มันไม่ได้ลงท้ายแค่นี้เท่านั้น- -เพราะยังมีปัญหาใหญ่
อีกอันหนึ่งซ้อนขึ้นมาอีก ซึ่งก็คือ เราดันแยกแยะไม่ออก...
ไม่รู้ว่าอะไรคือปัญหาแท้จริง ที่กำลังเกิดขึ้นกับเรากันแน่

...เมื่อได้ฟังมาถึงตรงนี้- -รู้สึกตัวเองเหมือนมีใครมาเคาะหัวเบาๆ เลยล่ะ
เพราะมันทำให้ฉันได้รับคำเฉลยที่สงสัยมานานแล้วว่า มิน่าล่ะ
บางปัญหาที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเอง “ เวลาถึงช่วยอะไรไม่ได้ซักที ”
เพราะที่แท้...มันคือปัญหาข้างใน และเราก็ค้นหามันไม่พบ
ไม่ได้แก้ปมข้างในให้จบเสียก่อน...มันก็เลยยืดเยื้อ
เป็นที่มาของความรู้สึกท้อแท้ กำลังใจถดถอย ติดอยู่ในใจเรื่อยมา

...อาจมีคุณบางคนที่กำลังพบกับภาวะแบบนี้เหมือนกัน..
แต่ฉันอยากจะบอกกับคุณด้วยการ อ้างอิงประสบการณ์ตรงของตัวเองว่า
ถ้าคุณเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างมากขึ้น รู้ชัดแน่แล้วว่าปัญหาของคุณคืออะไร
จากนั้น...ก็แก้ไขเฉพาะในส่วนที่แก้ได้...
( ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นภายในใจเราเอง )
แล้วปล่อยวางหรือยอมรับในส่วนที่นอกเหนือกำลังความสามารถของเรา

วันนี้...แม้จะเป็นเรื่องเดิมๆ ปัญหาเดิมๆ ...
แต่ถ้ามันเกิดขึ้นในช่วงที่จิตใจของคุณได้เปลี่ยนแปลงพัฒนาไปแล้วล่ะก็
คุณจะมองสิ่งนั้นในมุมที่แตกต่างออกไปทันที ....
และนี่แหละ...ที่ถือเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของการใช้ชีวิต
ซึ่งคุณจะได้พบกับมันโดยไม่รู้ตัว....

ทุกอย่างในโลกนี้มี 2 ด้านเสมอ ...
ท่ามกลางเหตุการณ์ร้ายๆที่เกิดขึ้นกับชีวิต
มันมักจะแฝงมากับโอกาสที่บังคับให้เราได้รู้จักใช้สติปัญญาตัวเอง
เพื่อเอาชนะอุปสรรคหรือผ่านปัญหาตรงนั้นไปให้ได้
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดจะเกิดขึ้น...ก็ต่อเมื่อคุณละเลยที่จะใช้โอกาสนั้น
และปล่อยให้ความอ่อนแอในใจเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงจุดอันตราย
ที่มันอาจบงการ หรือชี้นำคุณให้ทำในสิ่งที่นึกไม่ถึง
และอาจเตลิดไปไกลเกินกว่าจะควบคุมได้อีกต่อไป


ขึ้นชื่อว่า “ชีวิต” ...
ไม่มีใครหรอกที่จะสามารถเตรียมตัวล่วงหน้าไว้รับมือกับมันได้ทุกเรื่อง
เมื่อเราไม่อาจรู้ว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
การมีชีวิตอยู่...จึงต้องอาศัยความกล้า...
ที่จะออกไปเผชิญหน้า กับทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านั้น...


กล่าวคือ คุณต้องกล้า...ที่จะเผชิญหน้ากับความไม่แน่นอน
กล้า...ที่จะต้องทำบางสิ่งทั้งๆที่มีความกลัว
กล้า...ที่จะไปในที่ๆไม่เคยรู้จัก
กล้า...ที่จะต้องสูญเสีย กล้า...ที่จะเริ่มต้นใหม่ ฯลฯ
ซึ่งทั้งหมดนี้ จะมีความเป็นไปได้แค่ไหน ?...
อยู่ที่ใจของคุณเท่านั้นล่ะ..ที่เข้มแข็งพอรึเปล่า .....

"บนเรือนร่างของทุกคน ต่างก็มีเชือกเส้นที่มองไม่เห็นอยู่เส้นหนึ่ง

ในชั่วชีวิตส่วนใหญ่ของผู้คนต้องถูกพันธนาการด้วยเชือกที่มองไม่เห็นเส้นนี้ ..."

โกวเล้ง

ปล.ขอขอบคุณบทความดีๆ นะค๊ะ(ไม่ขอเอ่ยนามละกัน)

วันศุกร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2551

เตือนใจตัวเอง ตอนที่ 1.....

เจ้าหญิงที่พึ่งเจ้าชาย.....ตกม้าตายมานักต่อนักแล้ว


"ผู้หญิงแบกฟ้าไว้ครึ่งหนึ่ง" : เหมาเจ๋อตุง

ช่างเป็นคำคมที่อมตะ ที่ชวนให้วิญญาณภายในหึกเหิม

ดึงความกล้าหาญที่แท้จริงของเพศหญิงที่ถูกกดไว้นับ

ศตวรรษออกมาจริงๆ หากฟ้าคือชีวิต ผู้หญิงก็ร่วมแบกฟ้า

กับผู้ชายที่เรารักไว้ครึ่งฟ้า.....

"ฝันรักกลายเป็นฝันร้ายเพียงเพราะพวกเธอเชื่อว่าเธอจะประสบความสำเร็จเองไม่ได้ถ้าไม่มีผู้ชายคอยคุ้มครอง เธอลงทุนชีวิตเพื่อให้ได้เขามา แทนที่เธอจะลงทุนความเชื่อมั่น ให้กับความสามารถของตัวเอง"

บทความจาก first magazine โดยคุณ มณฑานี ตัณติสุข

ผู้หญิงเก่งที่ฉันชื่นชอบ ผลงานเขียนของเธอ เมื่อไรที่ฉันหยิบเอาหนังสือที่เธอเขียนออกมาอ่าน
(- - ไม่สามารถบอกได้ว่ากี่รอบเพราะบ่อยครั้งมาก) หนังสือของเธอได้เปลี่ยนการดำเนินชีวิตของฉันไปอย่างสิ้นเชิง
บทความที่เขียนขึ้นมาของเธอทำให้ผู้หญิงอย่างฉันที่วันๆเอาแต่เพ้อฝัน(ลมๆแล้งๆ..)ไม่มองหลักความเป็นจริง มัวแต่คิดเพ้อฝันอยากจะมีความรักเหมือนในนิยาย(- - อนาตจิต- -) รักโรแมนติค หรือในแบบการ์ตูนญี่ปุ่นที่ล้างสมองฉันมาตั้งกะตอนที่เรียนอยู่ม.ต้น
(-*-) ฉันก็เพิงจะได้รู้และเข้าใจว่าสิ่งที่เคยคิดและเคยทำมานั้นนะ มันผิดมหันต์ ผิดอย่างร้ายแรง ฉันอ่านไปแล้วก็ต้องมานั่งคิดว่านี่ฉันมัวไปเสียเวลาทำเรื่องไร้สาระอะไรมาตั้งนาน มัวแต่ไปหมกมุ่นอยู่กะความหลง(ที่ผ่านๆมาอย่าเรียกว่ารักเลย ...อายที่รียกอย่างนั้นเพราะว่ามันไม่ใช่) สร้างความทุกข์ให้กับความเอง โดยที่ผู้ชาย(ที่โชคร้าย) ที่เค้าไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ต้องมาพลอยเดือดร้อนไปด้วย (น่าอายจริงๆ)เมื่อก่อนชอบอ่านหนังสือนิยายมากเป็นชีวิตจิตใจ แล้วนิยายส่วนใหญ่ก็ต้องมาอิหรอบเดียวกันหมด (เชื่อสิไปเปิดอ่าน..ฉันท้า ให้เปิดเลย)มากกว่าครึ่งนึง นางเอก ในท้องเรื่องต้องยากจน ค้นแค้น ไม่มีอันจะกินมั้งละ พ่อตาย แม่ป่วย น้องพิการ ก็ว่ากันไป แต่พระเอกนี่ต้อง รวยๆ อภิมหาเศษฐี เลยก็ว่าได้ แล้วก็มาพบรักกับนางเอก ผู้ยากจน(- -") เอาเข้าไป คอยตามช่วยเหลือนางเอก ยามที่ตกทุกข์ได้ยาก ฉันเลยตีความไปว่า ในเวลาที่ฉันตกทุกข์ได้ยากเด๋วก็จะมีพระเอก หรือ เจ้าชายขี่ม้าขาว มาคอยช่วยดูแล แต่ฉันไม่นึกถึงความเป็นจริงที่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างต้องเริ่มที่ตัวเรา ปัญหาของเราแท้ๆแต่กลับจะไปโยนให้ใครก็ไม่รู้ แล้วไม่รู้ว่ามีตัวตนอยู่หรือเป่า เห้อ เศร้าแท้ เศร้าในความคิดของตัวเอง จนเมื่อได้อ่านหนังสือของคุณ มณฑานี ทำให้ฉันถึงบางอ้อ (น่าจะถึงตั้งนานแล้วนะ แต่มัวไปหลงทางอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้) ว่าสิ่งที่ฉันเคยปฎิบัติมานะผิดมหันต์ ฉันเลยเริ่มปฎิวัติตัวเอง ซะใหม่ ตอนนี้ใช้ชีวิตทุกวันให้ผ่านไปอย่างคุ้มค่า อย่ามัวแต่รอเจ้าชายขี่ม้าขาวอยู่เลย ลุกขึ้นมาทำความฝันของเรา ด้วยเราเองซะเถอะเริ่มตั้งแต่ตอนนี้ เด๋วนี้ เพราะว่าไม่ใช่เรื่องยากเลย ที่เราจะเริ่มต้นทำอะไรดีๆ ให้ตัวเราเอง เผลอๆอาจจะเผื่อแผ่ไปยังคนข้างๆรอบตัวเราด้วยก็เป็นได้ ตอนนี้ฉันก็ยังทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร อย่างที่ใจฉันอยากให้เป็น (เนื่องจากความเชื่อแบบผิดๆ ฝังหัวฉันมานาน) แต่ฉันกล้าพูดได้อย่างเต็มปากว่า ฉันรักตัวเอง และ ฉันกำลังทำทุกอย่างเผื่ออนาคต ของตัวเอง และการที่ฉันเริ่มทำอะไรดีๆให้กับตัวเองไม่ใช่ทำด้วยความเห็นแก่ตัว แต่ทำด้วยความรัก ที่ฉันรักตัวเอง เมื่อเรารักตัวเองอย่างจริงใจแล้ว เราก็จะสามารถรักคนอื่นได้อย่างจริงใจเช่นกัน ฉันเชื่ออย่างนั้น



ยังมีผู้หญิงอีกหลายคน(รวมทั้งคนที่ฉันรู้จักด้วย) ที่ยังคิดแต่จะรอคู่มาช่วยให้ความฝันของตัวเอง รวมทั้งเรื่องการเงินของเธอเองด้วย...(เฮ้อ เหนื่อยแทน) พอฉันพูดถึงเรื่องอนาคตที่ฉันวางแผนเอาไว้ เค้าก็พูดออกมาเลยว่า
"เอ้า แล้วไม่คิดจะแต่งงานเหรอ " ..หรือไม่ก็.. "เอ้า ทำไมไม่หาแฟนรวยๆ จะได้เลี้ยงเราได้" และอีกมากมาย ที่พวกเธอทั้งหลายจะสรรหามาพูด ให้ฉันรู้สึกสงสารพวกเธอ มันน่าสงสารตรงที่พวกเธอ ใช้ชีวิตไปวันๆ โดยคิดแต่เพียงว่า "เมื่อไหร่ฉันจะมีแฟนรวยๆเหมือนคนอื่นเค้าซะที --"หรือหนักๆเข้าก็ฝันว่า "เมื่อไหร่ฉันจะได้เจอเจ้าชาย ซะที" ...อนาตใจแท้... ทำไมเค้าไม่คิดกันว่า ฉันจะวางแผนการเงินตัวเองยังไงดี ฉันอยากจะทำอะไรนะ ตอนนี้ หรือ ฉันอยากจะให้ของขวัญอะไรกับตัวเองดี เฮ้อ แทนที่จะเอาเวลาที่มานั่งคิดถึงชายในฝัน(มีเฉพาะในความฝันของพวกเธอนะแหล่ะ)มานั่งคิดที่จะทำอย่างไรให้อนาคตตัวเองดีขึ้นในวันข้างหน้า ที่พูดนี้ไม่ได้หมายความว่าฉันไม่เชื่อใจผุ้ชายหรือมีอคติกับผู้ชายหรอกนะ ฉันเชื่อว่ามีผู้ชายดีๆ รอฉันอยู่ อย่างแน่นอน แต่ในเมื่อมันเป็นอนาคตและความฝันของตัวฉันเอง ฉันก็ต้องทำด้วยตัวเอง แล้วเมื่อไหร่ที่ฉันทำได้สำเร็จ ฉันก็จะพูดได้อย่างเต็มปากว่า "ฉันทำความฝันสำเร็จแล้ว" อย่าใช้ชีวิตไปวันๆ โดยคิดแต่จะรอคู่ของคุณ เพื่อให้เค้ามาทำความฝันของคุณให้เป็นจริงขึ้นมา เปลี่ยนความคิดซะเถอะค่ะ ...อนาคตของเราความฝันของเรา เราก็ต้องรับผิดชอบด้วยตัวเราเอง ..

เพื่อนหญิงของฉันทุกคน(รวมทั้งตัวฉันเองด้วย)เรามาร่วมกันปฎิวัติ ความคิดกันซะใหม่ เถอะนะค๊ะ เพื่อตัวเราเอง....เพราะตัวฉันเองก็เริ่มปฎิวัติตัวเองใหม่(^ ^)ทำแล้วคุณจะรู้ว่าผู้หญิงอย่างเรามีพลังมากมาย...เหลือเกิน...

..จิตเปี่ยมล้น..