วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

...พื้นที่ว่างในใจ...


บางครั้งคนเราก็วิ่ง..ซะจนเหนื่อยนะ เหนื่อยกายไม่เท่าไหร่ แต่เหนื่อยใจนี่สิ ลำบาก


ฉันจะไม่บังคับให้เข้าใจ ..... แต่อย่าเข้าใจตัวฉันผิดก็พอแล้ว


ขอพื้นที่เล็ก..เล็ก ให้ฉันมีคำว่า ส่วนตัว บ้าง คงไม่ว่ากัน


ฉันแค่อยากแก้ไข ปมในใจ และทลายกำแพง ของความเย็นชา ในในตัวเอง


การที่ฉันค้นหาตัวเองนี่มันผิดมากนักหรือ




ฉันแค่อยากรักตัวเองให้เป็น..เพื่อที่ฉันจะได้รักคนอื่นได้อย่างที่รักตัวเอง
ฉันแต่อยากเรียนรู้ กับคำว่า "ชีวิต" ก็เท่านั้นเอง

ขอเวลาให้ฉันได้เป็นคนใหม่..ที่เข้มแข็ง..และดีกว่าที่เป็นอยู่



ไม่ต้องอยู่เคียงข้าง..ขอแค่อย่าเหินห่างก็พอ


ไม่ต้องคอยปลอบใจ...ขอแค่อย่าผลักใสฉันเลย


ไม่ต้องรักฉันในตอนนี้.....แต่อย่าเพิ่งหลีกหนีฉันไปไหนไกล


แค่พื้นที่ว่างไว้ในใจ....เว้นมันไว้...เพื่อตัวเอง








อย่าเพิ่งคาดหวังในตัวฉันมากเกินไป


อย่าให้ฉันเป็นในสิ่งที่ไม่ใช่ฉัน


อย่าเพิ่งตัดสินตัวฉันถ้ายังไม่รู้จักฉันดีพอ


เพราะขนาดตัวฉันเอง...ฉันยังไม่รู้จักตัวเองทุกแง่มุม

..สิ่งสำคัญในชีวิต..

บางทีคนเราก็ละเลยสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตไป...สิ่งที่สำคัญสิ่งแรกนันก็คือ "ตัวเอง" ไม่ได้หมายถึงให้เห็นแก่ตัวนะคะ เพราะคำว่ารักตัวเอง กับ เห็นแก่ตัวมันคนละความหมายกัน ต้องเน้นย้ำคำนี้เอาไว้เสมอ เพราะตัวฉันเองก็ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่ยังเล็กๆเลยว่า อย่าชมตัวเองต้องคิดถึงคนอื่นก่อนเสมอ ฉันถึงได้ละเลยความสุขของตัวเอง เพียงเพราะต้องคิดถึงความสุขของคนอื่นก่อนเสมอ ฉันต้อง(จำใจ)ยอมทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ ยอมไม่กลัวในสิ่งที่ฉันกลัวจับใจ เพียงเพราะถูกสอนมาให้ยอมพี่ ฉันต้องยอมพี่เสมอ (แม่ใช้คำนี้กับฉันเป็นประจำ) ตอนนี้ฉันก็เพิ่งรู้ว่าที่แท้ ที่แม่พูดอย่างนี้กับฉัน เป็นเพราะว่าแม่รู้สึกผิดที่ไม่ได้ดูแลพี่ๆ ทั้ง 2 คนของฉันในตอนเด็ก เลยเอาทุกอย่างมาลงให้ฉันเป็นคนรับหน้าที่แทน แม่ไม่กล้าขัดใจพี่ๆ ของฉันเพียงเพราะอยากชดเชยให้กับพี่ๆ ฉันก็เลยต้องพลอยทำอย่างที่แม่ต้องการมาตั้งแต่จำความได้ ทำให้ตัวฉันเองรู้สึกตลอดเวลาว่า ฉันเอาเปรียบพี่ๆ เพราะฉันได้ใกล้ชิดกับแม่ ได้อยู่กับแม่ พี่ๆ ก็เลยพลอย โทษแต่ว่าที่ฉันได้ดีทุกวันนี้เป็นเพราะว่าแม่สอนมาดี ได้อยู่กับแม่ ไม่เหมือนพวกพี่ๆที่ต้องอยู่กับยายและน้า ที่กดขี่เค้า อันนี้จริงๆแล้วก็มีส่วนด้วยฉันไม่เถียงหรอก แต่พี่ๆของฉันชอบบอกว่า อิจฉา ฉัน ฉันไม่ได้มีความสุขหรอกนะที่ได้ยินแบบนั้น ใช่ว่าชีวิตฉันจะสบายหนักหนา
เพราะตั้งแต่ฉันจำความได้ก็โดนเพื่อน หรือ คนอื่น มองด้วยสายตาดูหมิ่น แล้วก็ล้อ อยู่ตลอดว่า ทำไมกล้าเรียก พ่อ คนอื่น ว่าเป็นพ่อของตัวเอง นั่นไม่ใช่พ่อของเธอนะ ได้ยินแบบนี้ ลองนึกถึงสภาพจิตใจของเด็กคนนึงสิคะว่าจะรู้สึกยังไง ตอนแรกๆฉันก็ร้องไห้ฟูมฟาย แต่พอบ่อยเข้า ฉันก็เริ่มสร้างกำแพง แห่งความเย็นชาขึ้นมาในหัวใจ เพื่อไม่ให้ใครต่อใครล่วงรู้ว่าในใจฉันเศร้าและอ่อนแอ แค่ไหน ฉันทำมาจนติดเป็นนิสัย เมื่อใดก็ตามที่รู้สึกผิดหวัง อ่อนแอ เศร้าใจ ฉันจะ สร้างกำแพงนั่นขึ้นมาทุกครั้ง กำแพงแห่งความเย็นชา โดยเฉพาะเมื่อใดก็ตามที่ฉันรู้สึกกล้ว และเหงา ว้าเหว่ ที่สำคัญคือฉันไม่ชอบระบายความรู้สึกที่แท้จริงกับใคร จนบางครั้งกลายเป็นคนเก็บความรู้สึกเอาไว้ ฉันมารู้ตัวอีกที ก็ตอนที่เจอะเจอเรื่องอะไรกระทบกระเทือนจิตใจ ฉันจะอึ้งไปพักนึง แต่แค่แป๊บเดียวเท่านั้น (ย้ำว่าแป๊บเดียว) หลังจากที่อึ้งไป ฉันก็จะกลายเป็นคนที่ร่าเริง(ผิดปกติ)เพื่อกลบเกลื่อนความเจ็บปวดข้างใน แต่พอเมื่อไหร่ก็ตามที่อยู่คนเดียว ไม่ว่าจะบนถนนทางเดิน บนรถเมย์ ในบนลิฟท์ ก็ตามน้ำตาฉันจะไหลออกมา มันไหลออกมามากมายซะจนบางทีฉันยังตกใจว่า นี่ฉันเสียใจมากมายขนาดนี้เลยเหรอ ...ฉันทำจนเป็นนิสัยติดตัวไปแล้ว แต่คนที่รู้ดีที่สุดก็คือแม่ของฉันเอง แม่รู้เลยว่าฉันมีเรื่องอะไรในใจ ทั้งๆที่แค่ฟังเสียงของฉัน ไม่ว่าฉันจะพูดหรือพยายามร่าเริงแค่ไหนก็ตาม ฉันโกหกแม่ไม่ได้สักที แต่ต่อจากนี้ไปฉันสัญญากับตัวเองแล้วว่า เมื่อฉันเจอเรื่องอะไร ฉันจะมีสติและใช้ปัญญาในการแก้ไข และรับมือกับเรื่องรามต่างๆที่เกิดขึ้น ฉันจะเลิกนิสัยเก็บกดอารมณ์เอาไว้แล้ว(แต่ไม่ใช่ว่าฉันจะระเบิดอารมณ์ตรงนั้นเลยนะ) ฉันจะปรับเปลี่ยนนิสัยที่แย่ๆของตัวเองให้ดีขึ้น ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ เพื่อตัวฉันเอง และ ครอบครัว รวมไปถึงคนรอบๆข้างฉันด้วย จากนี้ไปฉันจะปฎิวัติตัวเองซะใหม่ เพื่อชีวิตที่มีความสุข ความสุขที่แท้และยั่งยืน ฉันจะทลายกำแพงนั้นให้จงได้ด้วยมือของฉันเอง....

วันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

P.S. I LOVE YOU

เรื่องย่อ
สาวสวยเก่ง ฮอลลี่ เคเนดี้ (ฮิลลารี่ สแวงก์) แต่งงานกับเจอร์รี่ (เจอราร์ด บัตเลอร์) หนุ่มไอริชผู้น่ารักและรวยอารมณ์ขันที่เธอรักมากที่สุดในชีวิต เมี่อมะเร็งพรากเขาไป จึงเหมือนชีวิตครึ่งหนึ่งของเธอถูกพรากไปด้วย คนเดียวในโลกที่เข้าใจเธอจากไปเสียแล้ว เจอร์รี่เองก็รู้ว่าเขาคือคนที่รู้จักฮอลลี่ดีที่สุด เขาจึงเตรียมแผนบางอย่างไว้สำหรับฮอลลี่ ก่อนตาย เจอร์รี่เขียนจดหมายถึงฮอลลี่จำนวนหนึ่ง ไม่ใช่เพื่อนำทางเธอให้พ้นจากความเศร้าเท่านั้น แต่เพื่อให้เธอค้นพบตัวเองอีกครั้งด้วย จดหมายฉบับแรกมาถึงฮอลลี่ในวันเกิดครบรอบ 30 ปีของเธอ พร้อมกับเค้กและเครื่องบันทึกเสียงที่ทำให้ฮอลลี่ช็อคมาก เสียงของเจอร์รี่อยู่ในนั้น และเขาขอให้เธอ “มีความสุขกับชีวิต” หลายสัปดาห์และหลายเดือนต่อมา ฮอลลี่ก็ได้รับจดหมายจากเจอร์รี่อีก แต่ละฉบับล้วนส่งมาในรูปแบบไม่ธรรมดา เพราะมันทำให้เธอได้ผจญภัยกับสิ่งใหม่และทุกฉบับลงท้ายด้วยประโยคเดียวกันว่า “ปล.ผมรักคุณ”

ทั้งแม่ (แคธี่ เบตส์) และเพื่อนสนิทของฮอลลี่อย่าง เดนนิส (ลิซ่า คูโดรว์) และชารอน (จิน่า เจอร์ชอน) ต่างเป็นห่วงว่าจดหมายจากเจอร์รี่จะทำให้ฮอลลี่ยึดติดกับอดีต แต่ความจริงแล้ว จดหมายแต่ละฉบับผลักดันให้เธอก้าวสู่อนาคตอย่างมีความสุขต่างหาก ข้อความในจดหมายนำทางฮอลลี่สู่การค้นพบอันน่าตื่นเต้น, ซาบซึ้ง และหลายครั้งก็หรรษาของชีวิตคู่, มิตรภาพ และอานุภาพความรักที่เปลี่ยนจุดจบแห่งความตายให้กลายเป็นการเริ่มตันชีวิตใหม่

วันเสาร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

..ต่างความรู้สึก...ต่างความหมาย...

คนที่ "เข้าใจ" อาจไม่ใช่คนที่ เรารัก
คนที่ "เรารัก" อาจไม่ใช่คนที่ เข้าใจ

คนที่ "ห่วงใย" อาจไม่ใช่คนที่ เรารัก
คนที่ "เรารัก" อาจไม่ใช่คนที่ ห่วงใย

คนที่ "เคียงข้าง" อาจไม่ใช่คนที่ เรารัก
คนที่ "เรารัก" อาจไม่ใช่คนที่ เคียงข้าง

คนที่ "ดูแล" อาจไม่ใช่คนที่ เรารัก
คนที่ "เรารัก" อาจไม่ใช่คนที่ คอยดูแล

คนที่ "เอาใจใส่" อาจไม่ใช่คนที่ เรารัก
คนที่ "เรารัก" อาจไม่ใช่คนที่ คอยเอาใจใส่

คนที่ "คิดถึงเราเป็นแรก" อาจไม่ใช่คนที่ เรารัก
คนที่ "เรารัก" อาจไม่ใช่คนที่ คิดถึงเราเป็นแรก

คนที่ "คอยให้กำลังใจ" อาจไม่ใช่คนที่ เรารัก
คนที่ "เรารัก" อาจไม่ใช่คนที่ คอยให้กำลังใจ

คนที่ "คอยปลอบโยน" อาจไม่ใช่คนที่ เรารัก
คนที่ "เรารัก" อาจไม่ใช่คนที่ คอยปลอบโยน









แ ล ะ ค น ที่ เ ร า รั ก อ า จ จ ะ เ ป็ น ค น เ ดี ย ว กั บ ค น ที่ ไ ม่ เ ค ย รั ก เ ร า

..เริ่มต้น..

"ชีวิต" สำหรับคุณคืออะไร?


สำหรับฉันคือ การเริ่มต้น ..เพราะฉันเชื่อว่า ชีวิตสามารถเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ ถึงแม้บางครั้งอาจจะเจอเรื่องร้ายๆมา แต่ถ้าเราไม่เจอเรื่องร้ายๆ เราคงไม่เห็นคุณค่าของสิ่งดีๆที่เข้ามาในชีวิต เมื่อใดก็ตามที่เจอเรื่องร้ายๆ ให้คิดถึงเรื่องที่ร้ายยิ่งกว่า แล้วเมื่อไหร่ ที่ได้เจอะเจอกับเรื่องดีๆ ให้เรานึกถึงตอนที่เจอเรื่องร้ายๆ "จะได้เห็นคุณค่าในเรื่องดีๆที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนั้น"

..คิดเหมือนฉันมั้ย..คนเราพอเจอะเจอเรื่องร้ายๆ ก็พาลจะรับไม่ได้ ลองกลับไปนึกดูสิว่าวันๆ เราเจอเรื่องร้ายๆกันสักกี่เรื่องกันเชียว เราร้องไห้บ่อยแค่ไหนกัน เมื่อเทียบกับวันที่เรามีความสุขแล้ว วันนึงๆ เราแทบจะไม่ได้ร้องไห้ ว่ามั้ย เราหัวเราะมากกว่าร้องไห้ซะอีก .. เพราะซะนั้นในยามที่มีน้ำตา ก็จงร้องออกมาไห้เต็มที่ ซึบซับ กับน้ำตาทุกหยด อย่าเก็บกดเอาไว้ ให้วันต่อไปต้องมีน้ำตาอีกเลย ร้องไห้ให้เต็มที่ เพราะนานๆที่เราจะมีน้ำตา แค่มีน้ำตา ใช่ว่า จะไม่หัวเราะ หรือยิ้มได้ ....




ชีวิต คือ การเดินทาง และในการเดินทางไม่มีใครไม่เหนื่อย ไม่มีใครไม่ท้อ ไม่มีใครไม่สูญเสีย แต่จะมีสักกี่คนที่สามารถตั้งรับกับสิ่งที่ ชีวิต กำลังพาเราเดินทางผ่านไป เส้นทางแต่ละเส้นทาง ที่ชีวิตนำพาให้เราเดินผ่าน นั้นหลากหลาย อาจร้ายบ้าง อาจดีบ้าง แต่นั่นก็คือ"เส้นทางชีวติ" และเส้นทางที่เราผ่านกำลังสอนให้เรารู้จักคำว่า 'อดทน' และมีสติ


ฉันเองก็เป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่ง บางครั้งก็อ่อนแอ บางครั้งก็ต้องการกำลังใจ บางครั้งการต้องการความใส่ใจ แต่นั่นหล่ะนะ ทุกสิ่งทุกกอย่าง ต้องเริ่มต้นมาจากตัวเราเองเป็นอันดับแรก เราต้องให้กำลังใจตัวเอง ในยามที่อ่อนแอ เราต้องคอยเตือนใจตัวเองในยามที่ผิดพลาด เอาใจใส่ตัวเองทุกเวลา ..จำเอาไว้นะ

วันพฤหัสบดีที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

วันแห่งความทุกข์ในรอบเดือน

เพื่อนหญิงของฉันทั้งหลายมีอาการเหล่านี้(เหมือนฉันหรือป่าว T^T) ถ้ามีเรามาช่วยกันแก้ไขไปพร้อมๆกันนะค๊ะ (สู้ๆ)

การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเพศในระหว่างมีประจำเดือนนี้มีศัพท์เรียกหลายอย่าง เช่น premenstrual syndrome (PMS), premenstrual tension หรือ dysmenorrhea ซึ่งยังไม่มีใครตอบได้ชัดเจนว่าทำไมอาการเหล่านี้ถึงเกิดขึ้นกับเฉพาะบางคน และแต่ละคนที่เป็นก็อาจมีอาการต่างๆ ไม่เท่ากันเสมอไป คุณผู้หญิงที่ไม่ค่อยแน่ใจว่าตัวเองมีอาการของ PMS หรือไม่ อาจลองใช้วิธีจดบันทึกของอาการที่เกิดขึ้นก่อนที่จะมีประจำเดือนดูสักประมาณ 2-3 เดือนติดๆ กัน เพื่อสังเกตว่าเกิดอาการคล้ายๆ กันอย่างใดหรือไม่ มีความรุนแรงขนาดไหน และมีระยะเวลาเท่าใด รวมทั้งผลกระทบทางอารมณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น หากพบว่ามีก็คงจะพอสังเกตเห็นได้ว่าเราเข้าข่ายที่ว่า และเมื่อคุณไปปรึกษาแพทย์ บันทึกที่ทำไว้นี้ก็จะช่วยให้แพทย์วินิจฉัยได้ง่ายขึ้นเพื่อหาทางบรรเทาอาการต่อไป

อาการไม่สบายตัวก่อนมีประจำเดือนในแต่ละคนอาจเกิดขึ้นแตกต่างกัน แต่โดยรวมแล้วสามารถแบ่งได้เป็น 2 ชนิดคือ อาการทางกาย และอาการทางจิตใจ

  • อาการทางกาย ได้แก่
  • รู้สึกตัวเองอ้วน พองขึ้น ทำให้แน่นและอึดอัด เหมือนว่ามีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น
  • เจ็บปวดแบบเป็นตะคริวที่บริเวณท้องน้อย(มดลูก)
  • เต้านมคัดตึง เจ็บ
  • สิวปะทุบริเวณใบหน้า
  • ครั่นเนื้อครั่นตัว เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวเย็น
  • หิวบ่อย
  • วิงเวียนศีรษะคล้ายจะเป็นลม
  • รู้สึกเหนื่อยอ่อน หมดแรง
  • ใจสั่น
  • ปวดหัว
  • ปวดบริเวณกระดูกเชิงกราน
  • ปวดหลัง หรือปวดกล้ามเนื้อ
  • นิสัยการขับถ่ายเปลี่ยนไปจากปกติ เช่น ท้องผูก หรือท้องเสีย

อาการทางจิตใจ ได้แก่

  • หงุดหงิด ฉุนเฉียวง่าย
  • ก้าวร้าว
  • เครียด
  • วิตกกังวล
  • ซึมเศร้า หดหู่
  • อารมณ์แปรเปลี่ยนง่าย เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย
  • เฉื่อยชา ความสนใจต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งเปลี่ยนไป
  • นอนไม่หลับ
  • เบื่ออาหาร
  • อยากร้องไห้
  • อารมณ์ทางเพศเปลี่ยนไป
  • กระหายน้ำบ่อยๆ
  • รู้สึกสับสน

และเนื่องจากยังไม่มีใครสามารถระบุสาเหตุที่แน่ชัดของการเกิดอาการไม่สบายตัวก่อนมีประจำเดือนเหล่านี้ได้ นอกจากตั้งข้อสังเกตกันไว้ต่างๆ นานา บ้างก็ว่าเกิดจากขาดวิตามิน B แคลเซียม และแมกนีเซียม บ้างก็ว่าเกิดจากการกินยาเม็ดคุมกำเนิด บ้างก็ว่าเกิดระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ หรือระดับธัยรอยด์ฮอร์โมนต่ำไป ทำให้การรักษาเยียวยาจึงได้แต่รักษาไปตามอาการ เช่น ปวดท้องก็ให้ยาแก้ปวด เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามวิธีที่แพทย์เน้นเป็นพิเศษเพื่อบรรเทาอาการทรมานที่ว่านี้ก็คือ การเปลี่ยนรูปแบบวิถีชีวิตบางอย่างจะช่วยได้มาก ลองพิจารณาวิธีที่เราแนะนำต่อไปนี้แล้วลองนำไปปฏิบัติตามทีละขั้นเพื่อบรรเทาอาการไม่สบายตัวในช่วงมีประจำเดือนให้รู้สึกดีขึ้น

  • รับประทานผลไม้ ผัก ธัญพืชต่างๆ ที่มีกากใยเป็นประจำสม่ำเสมอ
  • ลดเกลือ หรืออาหารเค็ม เพราะเกลือจะมีผลต่ออาการบวมน้ำ และการตึงคัดที่เต้านม
  • จำกัดการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน ทั้งในชา กาแฟ ช็อคโกแลต รวมทั้งเครื่องดื่มประเภทโคคา-โคลา เพราะคาเฟอีนก็มีผลต่อการระคายเคืองและตึงคัดที่เต้านมเช่นเดียวกัน
  • หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะเวลาที่คุณรู้สึกหดหู่หรือเครียด
  • พยายามทำจิตใจให้ผ่องใส ไม่จมอยู่ในความเครียด ด้วยการหาวิธีผ่อนคลายแบบต่างๆ เช่น การนั่งสมาธิ เล่นโยคะ การบำบัดโดยใช้กลิ่นหอมเข้าช่วย (อโรมาเธราปี) แม้กระทั่งการนอนแช่น้ำอุ่นๆ เวลาอาบน้ำสักพักหนึ่ง
  • การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยครั้งละประมาณ 30 นาที 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ นอกจากจะช่วยลดความเครียดแล้ว ยังช่วยให้คลายความหงุดหงิดและรู้สึกกับตัวเองดีขึ้นมาก
  • หากเกิดอาการข้อเท้าบวม ให้บรรเทาด้วยการนอนราบ และยกขาขึ้นสูง
  • ปรึกษาแพทย์ถึงการได้รับสารอาหารบางชนิดเพิ่มขึ้น เช่น วิตามินบี วิตามินอี แคลเซียม แมกนีเซียม หรือน้ำมันดอกอีฟนิ่งพริมโรส
    หากอาการเป็นมาก ควรพบแพทย์
  • ที่สำคัญอย่างยิ่งคือ ควรพูดคุยถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นและอาการที่เป็นกับคู่ของคุณ หรือคนใกล้ชิด เพื่อให้เขาเข้าใจ และจะได้ช่วยแบ่งเบาภาระที่คุณต้องทำ เช่นช่วยเลี้ยงลูก หรือทำงานบ้าน รวมทั้งไม่ถือสาหาความกับคุณ ในเวลาที่คุณหงุดหงิดฉุนเฉียว หรือไม่สบายตัว

ในเมื่อคุณต้องเผชิญกับช่วงระหว่างเวลาแห่งทุกข์อย่างนี้เป็นประจำทุกเดือน ก็คงยากที่จะเลี่ยงพ้น แต่คุณก็สามารถทำให้ตัวเองมีความสุขกับชีวิตได้ ด้วยการเข้าใจในธรรมชาติในแบบที่มันเป็น และให้รางวัลกับชีวิตด้วยการหากิจกรรมรื่นรมย์ต่างๆ ทำ ออกไปช้อปปิ้งให้สบายใจ หรือไปทำผม ทำเล็บ นวดหน้า อย่างไรที่มีความสุขก็ทำซะ แล้วคุณจะพบว่าคุณสามารถผ่านช่วงเวลาเหล่านี้ได้ไม่ยากเลย

วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

..ที่ใดมีรัก..นี่นั่นมีทุกข์(จริงหรือ)..

เคยได้ยินนิยามเกี่ยวกับความรักมาตั้งกะจำความได้ว่า "ที่ใดมีรัก..ที่นั่นมีทุกข์" ตอนที่ได้ยินก็ไม่เข้าใจหรอกนะ(ยังเด็ก) แต่พอเริ่มจะมีความรู้สึกพิเศษกับใครสักคน(ไม่ขอเรียกว่ารัก นะค๊ะ)ก็เลยพลอยเชื่อไปกับบทนิยามความรักนี้



....แต่มาตอนนี้ ฉันไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง 100 % เลยค่ะ ฉันกล้าใช้คำว่า 100 % เพราะถ้าใช้บทนิยามของความรักคำนี้มาตัดสิน อนุภาพ ของ "ความรัก" ไม่ได้หรอก (อันนี้ก็แล้วแต่ความคิดส่วนบุคคลนะค๊ะไม่ว่ากัน) เพราะฉันเชื่อมั่นในรักแท้..ความรักไม่เคยทำร้ายใครหรอกค่ะ...มีแต่เราที่เอาความรัก(ที่ไม่ใช่รักแท้) มาทำร้ายตัวเองและคนรอบข้างต่างหาก..



...ฉันเชื่อว่า "เราไม่ได้เป็นทุกข์เพราะความรัก...แต่เราเป็นทุกข์เพราะความต้องการ" ง่ายๆ ทางพุทธศาสนา เรียกว่า "กิเลส" หนักเข้าก็คือ "ตัณหา" ไม่ได้หมายถึงเฉพาะเรื่องเพศ หรอกนะค๊ะ แต่ความหมายของความต้องการ และความต้องการ คนเรามันกว้าง ไม่เหมือนกัน และไม่มีที่สิ้นสุด...



ยกตัวอย่างเช่น เวลาที่รู้สึกพิเศษกับใคร(อย่าเรียกว่ารักเลยค๊ะ) ก็อยากให้เค้าทำยั่งงั้นให้ ทำอย่างนี้ให้ อยากให้เค้าอยู่ด้วย อยากให้เค้ามาหา อยากให้เค้ามารับ - ส่ง อยากให้เค้าเห็นความสำคัญ และอื่นๆอีกมากมาย (สังเกตดูนะค๊ะ ประโยคเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่มีคำว่า "อยาก")



พอเค้าไม่ทำอย่างที่เราต้องการแล้วก็เกิดความทุกข์ เห็นมั้ยค่ะว่าคำนี้มาแล้ว... ควมรักจะเกิดความทุกข์ก็ต่อเมื่อเรารักด้วยกิเลส ค๊ะ แล้วรักแท้ ก็ไม่ใช่ รักด้วยกิเลส



แต่รักแท้...จะทำให้คนที่รู้สึกรัก อิ่มเอมในใจ สงบ ไม่รุ่มร้อน แม้จะสมหวังในรักนั้นหรือไม่ก็ตาม....ไม่ว่าใครก็ใครอ่ะนะ เวลาที่รู้สึกพิเศษกับใครสักคน ก็ต้องมีหลุดบ้างเป็นธรรมดา ขึ้นอยู่กับว่าเราจะสามารถเรียกสติ กลับคืนมาได้หรือป่าว (ฉันก็เป็น ก็ต้องควบคุมกันไป) เอาเป็นว่า ความรักมีอนุภาพที่ยิ่งใหญ่ ขึ้นอยู่กับว่าเรารักเป็นหรือไม่ ถ้ารักไม่เป็นก็ทุกข์กันไป ส่วนใครที่ มีรักแท้ก็ขอให้รักษารักนั้นไว้นานๆ ใครที่ยังไม่เจอ(เหมือนฉัน ^ ^) ก็ขอให้ได้พบในไม่ช้านะค๊ะ ...ที่แน่ๆคือก่อนที่เราจะรักใคร....ให้เรารักคนสำคัญที่สุดซะก่อน....นั่นคือรักตัวเอง....เริ่มต้นทำสิ่งดีๆ ให้ตัวเองตั้งแต่วันนี้ไม่ต้องรอให้ใครมาทำให้เรา...



"รักตัวเองให้ได้ ก่อนที่จะรักคนอื่น หรือ ก่อนให้คนอื่นมารัก"

ขอเป็นกำลังใจให้เพื่อนหญิงทุกคนค่ะ รวมทั้งตัวฉันเองด้วย เรามาร่วมเดินทางไปด้วยกัน ...... รักตัวเองให้มากๆนะค๊ะ(อ้อ แล้วก็คนละเรื่องกับ เห็นแก่ตัวนะค๊ะ^ ^)

..จิตเปี่ยมล้น..

วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

บ้านในฝัน

ทำความฝันให้เป็นความจริงไปแล้ว..(เรียนจบ ^ ^) จากนี้คงต้องลุยงานเพื่อทำคาวมฝันต่อไป นั่นคือ "บ้านในฝัน" อยากมีบ้านเป็นของตัวเองสักหลัง ไม่ต้องใหญ่โต ขอหลังเล็กๆ ใกล้ๆ ภูเขา มองออกไปจากหน้าต่างห้องนอน เห็นหมอกจางๆ และภูเขา ต้นไม้ เงียบสงบ ไม่วุ่นวาย ...

บ้านมีระเบียง..มีเก้าอี้ให้นั่งพักผ่อน มีโต๊ะเล็กๆ เอาไว้นั่งอ่านหนังสือ เล่มโปรด... ตอนกลางคืน..ก็ออกมานอนดูดาวได้...

ห้องนอนโล่งๆ ไม่ต้องมีอะไรมากมาย..เตียงเล็กๆติดกับพื้น..มีชั้นสำหรับวางหนังสือ หรืออาจจะมีห้องเล็กๆ อีกห้องที่สามารถเปิดจากห้องนอน แล้วทะลุไปถึงได้ เอาไว้เก็บหนังสือ..
..มีโต๊ะญี่ปุ่นเล็กๆ ที่พับเก็บได้..มีโต๊ะเครื่องแป้ง..ที่ไม่ต้องเกะกะ.. ตอนกลางคืนก็จุดเทียนหอม กลิ่น ดอกโมก ที่เราชื่นชอบ ..พื้นห้องเป็นพื้นไม้ขัดมัน..ในห้องไม่อยากให้มีตู้อะไรทั้งนั้น เสื้อผ้า ขอเป็นราวแขวน ที่มีม่านปิดไว้..หน้าต่างเป็นกระจกทรงสูง..พอเปิดผ้าม่านสีขาวออกไปจะมีระเบียง..เอาไว้ปลูกดอกมะลิ..ที่เราก็ชอบเช่นกัน อิอิ
ที่ระเบียงมีเก้าอี้นอน เอาไว้นอนเอกเขนก..อ่านหนังสือและดูดาว ..ตอนแรกกะจะทำ ชั้นเดียว แต่พอนึกภาพมาถึงตรงนี้ คงต้องเป็น 2 ชั้นแล้วมั้งเนี่ย..

ชอบห้องโล่งๆ....สว่างๆ..สีขาว..พื้นไม้ขัดมัน...ผ้าม่านสีขาว...ไม่ต้องมีเฟอร์นิเจอร์อะไรทั้งนั้น..โดยเฉพาะตู้จะไม่ให้มีในบ้านเลย นอกจากตู้เก็บของในครัวเล็กๆ...และก็ตู้เก็บหนังสือในห้องสมุด(ส่วนตัวเล็กๆ) บางทีถ้าเราเขียนเก่งๆ อาจจะใช้เป็นห้องเขียนหนังสือไปเลย แต่ตอนนี้ยังเขียนไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ ^ ^
อะบรรยายถึงไหนแร้วนะ....อ้อ ต่อไปก็ห้องนั่งเล่นแหระกัน ห้องนั่งเล่นมีเก้าอี้ไม้สำหรับเอนหลังหรือนอนได้ แล้วก็มีโต๊ะเตี้ยๆ... (ไม่ชอบเก้าอี้แบบในรูปนี้อ่ะ)

หน้าต่างเป็นกระจกทรงสูง..มองออกไปเห็นสวนหย่อมเล็กๆ..แน่นอนห้องนั่งเล่นต้องอยู่ชั้นล่าง...

ต่อไปก็ห้องครัวไม่ใหญ่มาก..ขอเป็นห้องเล็กๆ..ที่สะอาดตา.. คงไม่หรูหราขนาดนี้อ่ะนะ - -

แต่ชอบห้องโล่งๆ คล้ายๆ แบบนี้




ปล.ตอนนี้ยังนึกภาพไม่ออก...รูปที่เอามาก็ยังไม่โดนใจเท่าไหร่ - -" เด๋วมาเพิ่มเติมแหร่ะกัน...จริงๆแล้วไม่ชอบเก้าอี้ในรูปเลย..แต่ชอบบรรยากาศนอกระเบียง

..ทัณฑิมา..สู้สู้ สู้ตาย...เพื่อบ้านในฝัน... ^_________^

วันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

คน 1 คน

การที่เราจะคบหาหรือรู้จักใครสักคน ไม่ว่าจะในฐานะอะไรก็ตาม
สิ่งหนึ่งที่ควรท่อง ควรจำไว้อยู่เสมอก็คือ
" คน " เป็นสิ่งมีชีวิต ที่มีทั้งด้านบวก และด้านลบ อยู่ในนั้น

อย่าตั้งใจกับคน 1 คนมากเกินไป
เพราะไม่มีใครอยากเป็นต้นเหตุของความล้มเหลว

อย่าคาดหวังกับ คน 1 คนมากเกินไป
เพราะไม่มีใครสามารถเป็นทุกอย่าง ที่ทุกคนอยากให้เป็น

อย่าให้เวลากับคน 1 คนมากเกินไป
เพราะไม่ว่าใครก็อยากมีช่วงเวลาของความเป็นส่วนตัว. . . คนเดียว ....

อย่าพยายามเปลี่ยนแปลงคน 1 คนมากเกินไป
เพราะนั่นจะทำให้เค้าไม่หลงเหลือความเป็นตัวของตัวเอง

อย่าควบคุมชีวิตคน 1 คนมากเกินไป
เพราะมนุษย์มักจะหาวิธีการแทรกตัว เพื่อออกมาจากกฎที่ถูกกำหนด

อย่าบีบบังคับคน 1 คนมากไปกว่านี้
เพราะถ้าคนๆนั้น หลุดจากภาวะบีบบังคับมาได้ คุณจะกลายเป็นคนที่ถูกหันหลังให้ในทันที

" คน" เป็นสิ่งมีชีวิตที่มี 2 ด้าน...
ไม่ใช่ภาพวาด ที่จะสวยงามอยู่ตลอดเวลา

...อยากรู้จักใครสักคน ต้องหัดเรียนรู้ ไม่ใช่เปลี่ยนแปลง...

ปล.ขอขอบคุณบทความดีๆ นะค๊ะ(ไม่ขอเอ่ยนามละกัน)

ไม่มีอะไรน่ากลัว เท่ากับความอ่อนแอในใจตัวเอง..

บนเส้นทางชีวิต....
มีถนนนับร้อยพันให้เราเลือกเดินทาง
แต่ถนนสายเดียวที่จะพาเราไปถึงเป้าหมายได้
คือถนนที่ชื่อว่า “ กำลังใจ ”


มีบ้างมั้ย...ที่คุณเคยรู้สึกว่า ชีวิตมันไม่ค่อยแฟร์เท่าไหร่

บางคนอาจเคยรู้สึกเบื่อหน่าย หรือไม่เข้าใจ...
นึกสงสัยว่าทำไมชีวิตเรา ถึงได้มีปัญหามากมายนักให้ตามแก้
มาก...เสียจนบางครั้งก็เอาไม่อยู่เหมือนกัน...

บางช่วงในชีวิต...ก็เคยมีบ้างกับภาวะแบบนี้
เลยเข้าใจได้ดีเลยว่า ในเวลาแบบนั้น
ไม่มีอะไรที่จะสำคัญมากไปกว่าการหันมาเติมกำลังใจให้ตัวเอง
แต่เราจะทำมันได้ดีได้อย่างไร ถ้าเรายังมองตัวเองไม่ทะลุ
และมีความเข้าใจบางอย่างไม่ลึกซึ้งเพียงพอ ...?

โดยปกติแล้ว...ฉันจะเป็นคนที่ไม่ชอบเล่าหรือระบาย
เรื่องราวส่วนตัวกับใครในยามที่ชีวิตมีปัญหา...
แต่ก็เป็นเรื่องแปลกเหมือนกัน ที่ ณ เวลาดังกล่าว
ฉันมักจะได้รับแง่คิดดีๆ เกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ
จากการสนทนาพูดคุยอย่างไม่ตั้งใจอยู่เสมอ
และคำพูดที่ดีที่สุดอันหนึ่งที่ฉันจำได้ดีจากเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งก็คือ
เรื่องเกี่ยวกับปัญหาต่างๆในชีวิต เขาพูดในทำนองว่า

...ชีวิตคนเรานั้นมีปัญหากันทุกคน...
แต่คำว่าปัญหานั้น ถ้าแยกแยะมันจริงๆ จะมีอยู่ 2 อย่าง
คือ ปัญหา ที่ใช้ในภาษาอังกฤษว่า ‘problem’ ...
กับอีกคำหนึ่ง....ที่ใช้คำว่า ‘conflict’ ...

สำหรับปัญหาที่เป็น ‘problem’ นั้นหมายถึง ปัญหาภายนอก
ซึ่งมีมากมาย และเกิดขึ้นอยู่เสมอในชีวิตประจำวัน
ปัญหาชนิดนี้...ถ้าเราได้เผชิญหน้ากับมันมากเท่าไหร่
ก็ยิ่งจะทำให้เราฉลาดขึ้น เพราะมันช่วยให้เกิดการเรียนรู้ ...
เหมือนกับกบที่มาเหลาสติปัญญาของเรา ให้แหลมคมขึ้นเรื่อยๆ

แต่ปัญหา อีกคำหนึ่ง ที่หมายถึง ‘conflict’ นั้น คือปัญหาภายใน
ซึ่งหมายถึงความขัดแย้งในจิตใจ ปัญหาตัวนี้...นี่เอง
ที่เหมือนเศษผงที่ติดอยู่ในตาของเรา และถ้าเราเขี่ยมันออกไปได้เมื่อไหร่
เราจะเลิกกลัวกับปัญหาภายนอกได้ทันที...

ในทางกลับกัน- -ถ้า ‘conflict’ นี้ยังติดค้างอยู่ในใจไปเรื่อยๆ
สิ่งต่างๆ ก็จะยุ่งยากลำบากขึ้น ใจจะอ่อนแอระส่ำระสาย..
ความสุขหายไป พร้อมๆ กับกำลังใจของเราก็พลอยค่อยๆ หายไปด้วยเช่นกัน...
แต่มันไม่ได้ลงท้ายแค่นี้เท่านั้น- -เพราะยังมีปัญหาใหญ่
อีกอันหนึ่งซ้อนขึ้นมาอีก ซึ่งก็คือ เราดันแยกแยะไม่ออก...
ไม่รู้ว่าอะไรคือปัญหาแท้จริง ที่กำลังเกิดขึ้นกับเรากันแน่

...เมื่อได้ฟังมาถึงตรงนี้- -รู้สึกตัวเองเหมือนมีใครมาเคาะหัวเบาๆ เลยล่ะ
เพราะมันทำให้ฉันได้รับคำเฉลยที่สงสัยมานานแล้วว่า มิน่าล่ะ
บางปัญหาที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเอง “ เวลาถึงช่วยอะไรไม่ได้ซักที ”
เพราะที่แท้...มันคือปัญหาข้างใน และเราก็ค้นหามันไม่พบ
ไม่ได้แก้ปมข้างในให้จบเสียก่อน...มันก็เลยยืดเยื้อ
เป็นที่มาของความรู้สึกท้อแท้ กำลังใจถดถอย ติดอยู่ในใจเรื่อยมา

...อาจมีคุณบางคนที่กำลังพบกับภาวะแบบนี้เหมือนกัน..
แต่ฉันอยากจะบอกกับคุณด้วยการ อ้างอิงประสบการณ์ตรงของตัวเองว่า
ถ้าคุณเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างมากขึ้น รู้ชัดแน่แล้วว่าปัญหาของคุณคืออะไร
จากนั้น...ก็แก้ไขเฉพาะในส่วนที่แก้ได้...
( ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นภายในใจเราเอง )
แล้วปล่อยวางหรือยอมรับในส่วนที่นอกเหนือกำลังความสามารถของเรา

วันนี้...แม้จะเป็นเรื่องเดิมๆ ปัญหาเดิมๆ ...
แต่ถ้ามันเกิดขึ้นในช่วงที่จิตใจของคุณได้เปลี่ยนแปลงพัฒนาไปแล้วล่ะก็
คุณจะมองสิ่งนั้นในมุมที่แตกต่างออกไปทันที ....
และนี่แหละ...ที่ถือเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของการใช้ชีวิต
ซึ่งคุณจะได้พบกับมันโดยไม่รู้ตัว....

ทุกอย่างในโลกนี้มี 2 ด้านเสมอ ...
ท่ามกลางเหตุการณ์ร้ายๆที่เกิดขึ้นกับชีวิต
มันมักจะแฝงมากับโอกาสที่บังคับให้เราได้รู้จักใช้สติปัญญาตัวเอง
เพื่อเอาชนะอุปสรรคหรือผ่านปัญหาตรงนั้นไปให้ได้
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดจะเกิดขึ้น...ก็ต่อเมื่อคุณละเลยที่จะใช้โอกาสนั้น
และปล่อยให้ความอ่อนแอในใจเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงจุดอันตราย
ที่มันอาจบงการ หรือชี้นำคุณให้ทำในสิ่งที่นึกไม่ถึง
และอาจเตลิดไปไกลเกินกว่าจะควบคุมได้อีกต่อไป


ขึ้นชื่อว่า “ชีวิต” ...
ไม่มีใครหรอกที่จะสามารถเตรียมตัวล่วงหน้าไว้รับมือกับมันได้ทุกเรื่อง
เมื่อเราไม่อาจรู้ว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
การมีชีวิตอยู่...จึงต้องอาศัยความกล้า...
ที่จะออกไปเผชิญหน้า กับทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านั้น...


กล่าวคือ คุณต้องกล้า...ที่จะเผชิญหน้ากับความไม่แน่นอน
กล้า...ที่จะต้องทำบางสิ่งทั้งๆที่มีความกลัว
กล้า...ที่จะไปในที่ๆไม่เคยรู้จัก
กล้า...ที่จะต้องสูญเสีย กล้า...ที่จะเริ่มต้นใหม่ ฯลฯ
ซึ่งทั้งหมดนี้ จะมีความเป็นไปได้แค่ไหน ?...
อยู่ที่ใจของคุณเท่านั้นล่ะ..ที่เข้มแข็งพอรึเปล่า .....

"บนเรือนร่างของทุกคน ต่างก็มีเชือกเส้นที่มองไม่เห็นอยู่เส้นหนึ่ง

ในชั่วชีวิตส่วนใหญ่ของผู้คนต้องถูกพันธนาการด้วยเชือกที่มองไม่เห็นเส้นนี้ ..."

โกวเล้ง

ปล.ขอขอบคุณบทความดีๆ นะค๊ะ(ไม่ขอเอ่ยนามละกัน)