วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

..สิ่งสำคัญในชีวิต..

บางทีคนเราก็ละเลยสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตไป...สิ่งที่สำคัญสิ่งแรกนันก็คือ "ตัวเอง" ไม่ได้หมายถึงให้เห็นแก่ตัวนะคะ เพราะคำว่ารักตัวเอง กับ เห็นแก่ตัวมันคนละความหมายกัน ต้องเน้นย้ำคำนี้เอาไว้เสมอ เพราะตัวฉันเองก็ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่ยังเล็กๆเลยว่า อย่าชมตัวเองต้องคิดถึงคนอื่นก่อนเสมอ ฉันถึงได้ละเลยความสุขของตัวเอง เพียงเพราะต้องคิดถึงความสุขของคนอื่นก่อนเสมอ ฉันต้อง(จำใจ)ยอมทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ ยอมไม่กลัวในสิ่งที่ฉันกลัวจับใจ เพียงเพราะถูกสอนมาให้ยอมพี่ ฉันต้องยอมพี่เสมอ (แม่ใช้คำนี้กับฉันเป็นประจำ) ตอนนี้ฉันก็เพิ่งรู้ว่าที่แท้ ที่แม่พูดอย่างนี้กับฉัน เป็นเพราะว่าแม่รู้สึกผิดที่ไม่ได้ดูแลพี่ๆ ทั้ง 2 คนของฉันในตอนเด็ก เลยเอาทุกอย่างมาลงให้ฉันเป็นคนรับหน้าที่แทน แม่ไม่กล้าขัดใจพี่ๆ ของฉันเพียงเพราะอยากชดเชยให้กับพี่ๆ ฉันก็เลยต้องพลอยทำอย่างที่แม่ต้องการมาตั้งแต่จำความได้ ทำให้ตัวฉันเองรู้สึกตลอดเวลาว่า ฉันเอาเปรียบพี่ๆ เพราะฉันได้ใกล้ชิดกับแม่ ได้อยู่กับแม่ พี่ๆ ก็เลยพลอย โทษแต่ว่าที่ฉันได้ดีทุกวันนี้เป็นเพราะว่าแม่สอนมาดี ได้อยู่กับแม่ ไม่เหมือนพวกพี่ๆที่ต้องอยู่กับยายและน้า ที่กดขี่เค้า อันนี้จริงๆแล้วก็มีส่วนด้วยฉันไม่เถียงหรอก แต่พี่ๆของฉันชอบบอกว่า อิจฉา ฉัน ฉันไม่ได้มีความสุขหรอกนะที่ได้ยินแบบนั้น ใช่ว่าชีวิตฉันจะสบายหนักหนา
เพราะตั้งแต่ฉันจำความได้ก็โดนเพื่อน หรือ คนอื่น มองด้วยสายตาดูหมิ่น แล้วก็ล้อ อยู่ตลอดว่า ทำไมกล้าเรียก พ่อ คนอื่น ว่าเป็นพ่อของตัวเอง นั่นไม่ใช่พ่อของเธอนะ ได้ยินแบบนี้ ลองนึกถึงสภาพจิตใจของเด็กคนนึงสิคะว่าจะรู้สึกยังไง ตอนแรกๆฉันก็ร้องไห้ฟูมฟาย แต่พอบ่อยเข้า ฉันก็เริ่มสร้างกำแพง แห่งความเย็นชาขึ้นมาในหัวใจ เพื่อไม่ให้ใครต่อใครล่วงรู้ว่าในใจฉันเศร้าและอ่อนแอ แค่ไหน ฉันทำมาจนติดเป็นนิสัย เมื่อใดก็ตามที่รู้สึกผิดหวัง อ่อนแอ เศร้าใจ ฉันจะ สร้างกำแพงนั่นขึ้นมาทุกครั้ง กำแพงแห่งความเย็นชา โดยเฉพาะเมื่อใดก็ตามที่ฉันรู้สึกกล้ว และเหงา ว้าเหว่ ที่สำคัญคือฉันไม่ชอบระบายความรู้สึกที่แท้จริงกับใคร จนบางครั้งกลายเป็นคนเก็บความรู้สึกเอาไว้ ฉันมารู้ตัวอีกที ก็ตอนที่เจอะเจอเรื่องอะไรกระทบกระเทือนจิตใจ ฉันจะอึ้งไปพักนึง แต่แค่แป๊บเดียวเท่านั้น (ย้ำว่าแป๊บเดียว) หลังจากที่อึ้งไป ฉันก็จะกลายเป็นคนที่ร่าเริง(ผิดปกติ)เพื่อกลบเกลื่อนความเจ็บปวดข้างใน แต่พอเมื่อไหร่ก็ตามที่อยู่คนเดียว ไม่ว่าจะบนถนนทางเดิน บนรถเมย์ ในบนลิฟท์ ก็ตามน้ำตาฉันจะไหลออกมา มันไหลออกมามากมายซะจนบางทีฉันยังตกใจว่า นี่ฉันเสียใจมากมายขนาดนี้เลยเหรอ ...ฉันทำจนเป็นนิสัยติดตัวไปแล้ว แต่คนที่รู้ดีที่สุดก็คือแม่ของฉันเอง แม่รู้เลยว่าฉันมีเรื่องอะไรในใจ ทั้งๆที่แค่ฟังเสียงของฉัน ไม่ว่าฉันจะพูดหรือพยายามร่าเริงแค่ไหนก็ตาม ฉันโกหกแม่ไม่ได้สักที แต่ต่อจากนี้ไปฉันสัญญากับตัวเองแล้วว่า เมื่อฉันเจอเรื่องอะไร ฉันจะมีสติและใช้ปัญญาในการแก้ไข และรับมือกับเรื่องรามต่างๆที่เกิดขึ้น ฉันจะเลิกนิสัยเก็บกดอารมณ์เอาไว้แล้ว(แต่ไม่ใช่ว่าฉันจะระเบิดอารมณ์ตรงนั้นเลยนะ) ฉันจะปรับเปลี่ยนนิสัยที่แย่ๆของตัวเองให้ดีขึ้น ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ เพื่อตัวฉันเอง และ ครอบครัว รวมไปถึงคนรอบๆข้างฉันด้วย จากนี้ไปฉันจะปฎิวัติตัวเองซะใหม่ เพื่อชีวิตที่มีความสุข ความสุขที่แท้และยั่งยืน ฉันจะทลายกำแพงนั้นให้จงได้ด้วยมือของฉันเอง....

ไม่มีความคิดเห็น: